💀ดวงตาของมนุษย์ สามารถจับภาพสุดท้ายก่อนตายได้หรือไม่
ก่อนหน้าที่จะมีการตรวจ DNA หรือวิทยาการทางการแพทย์
ที่ทันสมัยอื่นๆ ที่ใช้ในการสืบสวนคดี
ที่ทันสมัยอื่นๆ ที่ใช้ในการสืบสวนคดี
👉อาชญากรรมทุกวันนี้
ได้มีการทดลองอย่างหนึ่งที่ดูราวกับนิยายวิทยาศาสตร์
ชื่อของมันคือ ออพโตกราฟฟี (Optography) เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่า จอประสาทตาของเรา สามารถบันทึกภาพสุดท้าย
ที่เห็นก่อนตายได้
ได้มีการทดลองอย่างหนึ่งที่ดูราวกับนิยายวิทยาศาสตร์
ชื่อของมันคือ ออพโตกราฟฟี (Optography) เป็นทฤษฎีที่เชื่อว่า จอประสาทตาของเรา สามารถบันทึกภาพสุดท้าย
ที่เห็นก่อนตายได้
🕜ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17 นักบวชคนหนึ่งนามว่า
คริสโตเฟอร์ ไชเนอร์ สังเกตุเห็นภาพแปลกๆ ในตากบที่ตายไปแล้ว ซึ่งเขาตั้งสมมุติฐานว่า นี่อาจเป็นภาพสุดท้ายที่เจ้ากบตัวนี้เห็นก่อนที่มันจะตาย
💢แต่ข้อทฤษฎีนี้ก็เป็นได้แค่แนวคิดของนักบวชคนหนึ่ง จนกระทั่งมีการประดิษฐ์
กล้องถ่ายภาพในอีก 200 ปีต่อมาในช่วงเวลานั้นเอง วิลเฮล์ม คูห์เน ชาวเยอรมนี มาสานต่อทฤษฎี ออพโตกราฟฟี เขาเชื่อว่า ตาทำงานเหมือนกับกล้องถ่ายภาพ สารเคมีบางอย่างที่ถูกพบในจอประสาทตา อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่คล้ายกับภาพเนกาทีฟ
กล้องถ่ายภาพในอีก 200 ปีต่อมาในช่วงเวลานั้นเอง วิลเฮล์ม คูห์เน ชาวเยอรมนี มาสานต่อทฤษฎี ออพโตกราฟฟี เขาเชื่อว่า ตาทำงานเหมือนกับกล้องถ่ายภาพ สารเคมีบางอย่างที่ถูกพบในจอประสาทตา อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่คล้ายกับภาพเนกาทีฟ
👉นี่คือสิ่งที่ถูกพบในตาของ
กระต่าย ภาพที่ปรากฏมีลักษณะคล้ายกับหน้าต่าง
กระต่าย ภาพที่ปรากฏมีลักษณะคล้ายกับหน้าต่าง
จูเลส เวิร์น เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในนิยายของเขาที่ชื่อว่า
Les Frères Kip
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรที่จะต้องทำลายดวงตาของเหยื่อทุกครั้งที่ฆาตกรรม เพราะกลัวที่จะถูกจับได้ด้วยภาพจากจอประสาทตา
Les Frères Kip
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรที่จะต้องทำลายดวงตาของเหยื่อทุกครั้งที่ฆาตกรรม เพราะกลัวที่จะถูกจับได้ด้วยภาพจากจอประสาทตา
💀ออพโตกราฟฟี ได้รับความนิยมมาก ณ เวลานั้น ก่อนที่จะค่อยๆ เงียบไป หลังจากมันถูกพิสูจน์ได้ว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จอประสาทตาจะเก็บภาพสุดท้ายก่อนตายเอาไว้
ถึงแม้สังคมจะมีความคาดหวังสูงเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ เพื่อช่วยในเรื่องการสืบสวนคดีต่างๆ แต่ ออพโตกราฟฟี ไม่เคยได้มีโอกาสนำมาใช้สืบสวนคดีใดๆ เลย สุดท้ายเรื่องนี้ก็ดูเหมือนเป็นแค่ไอเดียและความเพ้อฝันเท่านั้นเอง