ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คาลิกูล่า กษัตริย์วิปริตเเห่งโรมัน (ตอนที่ 2)


เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก คาลิกูลาและเดียซิร่าชอบอ่านนิทานหรือตำนานเทพเจ้ามาก แต่ที่พวกเขาชอบมากที่สุดก็คือตำนานความรักระหว่างเทพโอซิริสและเทพีไอซิสแห่งอียิปต์ ทั้งสองซาบซึ้งกับความรักของเทพีไอซิสผู้ทรงทำทุกอย่างเพื่อความรักให้กับเทพโอซิริสผู้เป็นพระเชษฐาร่วมสายโลหิตเดียวกัน นี่อาจจะเป็นมูลเหตุให้สองพี่น้องต่างสนิทสนมจนหลงรักซึ่งกันและกัน และนำไปสู่การลักลอบร่วมประเวณีกันนั่นเอง...

มีข่าวลือว่าพระองค์แอบนับถือเทพเจ้าอียิปต์ เพราะในอียิปต์นั่น พี่น้องแต่งงานกันไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมแต่อย่างใด
นอกจากเดียซิร่าแล้ว เขายังมีม้าคู่ใจ ชื่ออินเซตัส ที่ทรงรักมากถึงขนาดให้มันนอนบรรทมร่วมแท่นกับพระองค์และเดียซิร่าเลยทีเดียว ถึงแม้จะทำเรื่องผิดศีลธรรมร้ายแรง แต่ทั้งสองก็ใช่ว่าจะหน้าไม่อายแสดงความรักฉันท์ชู้สาวต่อหน้าผู้อื่น สำหรับจักพรรดิแล้ว จะทรงทำพระองค์เลวทรามแค่ไหนก็ได้ แต่จะต้องไม่ใช่ถึงขนาดร่วมประเวณีกับพี่น้องเด็ดขาด 

แม้หลังขึ้นครองราชย์แล้วคาลิกูลาก็ไม่ยอมมีพระมเหสีเพราะถือว่าน้องสาวเป็น ‘พระมเหสีเงา’ จนขุนนางก็พยายามคะยั้นคะยอพระองค์อยู่เสมอ รวมถึงเดียซิร่าเองก็สนับสนุน เพราะการมีพระมเหสีอย่างเป็นทางการและรีบมีรัชทายาทจะทำให้บังลังก์ของคาลิกูลามั่นคงมากขึ้นแต่แทนที่คาลิกูลาจะเลือกภรรยาที่เป็นสาวบริสุทธิ์ธิดาขุนนาง พระองค์กลับไปเลือกภรรยาหม้ายของขุนนางมาเป็นพระมเหสีแทน นั่นอาจจะมาจากเพราะปมที่เขาเห็นพ่อเลี้ยงแต่งงานกับแม่ของเขาที่เป็นภรรยาหม้ายก็เป็นได้ กระนั้นก็ตามคาลิกูลากลับไม่ค่อยให้อำนาจหน้าที่ของนายหญิงให้กับพระมเหสีองค์จริงนัก หนำซ้ำเขายังให้อำนาจเดียซิร่าในฐานะพระมเหสีเงาแทนอีกต่างหาก สังเกตเห็นได้ว่าจากการร่วมโต๊ะอาหารนั้น คาลิกูล่าให้เดียซิร่าเป็นผู้จัดการพระการยาหารที่ควรจะเป็นหน้าที่ของพระมเหสี และนั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะเคียงข้างในตำแหน่งพระมเหสีแทนเสียด้วยซ้ำ
            
พระมเหสีองค์จริงของคาลิกูลาล้วนแต่เป็นกุลสตรีที่นบนอบเรียบร้อยเกินไปจนคาลิกูลาซึ่งมีรสนิยมเสพสมแบบร้อนแรงเบื่อหน่าย เขาอภิเษกสมรสกับพระมเหสีถึง 3 นาง ซึ่งล้วนต่างก็เป็นภรรยาหม้ายของขุนนางทั้งสิ้น เพื่อเป็นการประชดเหล่าขุนนางที่ยุ่งเรื่องรักส่วนพระองค์ นอกจากจะหมางเมินพระมเหสีทางนิตินัยแล้ว พระองค์ก็ยังทรงร่วมรักกับเดียซิร่าในฐานะพระมเหสีทางพฤตินัยเหมือนเดิม และก็ทรงหย่าร้างกับพระมเหสีองค์จริงทั้ง 3 นางในที่สุด...แต่สภาขุนนางก็ยังคะยั้นคะยอให้ทรงเสกสมรสใหม่อีกต่อไป

ครั้งนั้นเอง คาลิกูลารู้สึกโมโหกับความจุ้นจ้านของขุนนาง พระองค์ถึงขนาดตรัสกับเดียซิร่าว่า จะให้นางขึ้นมาเป็นพระมเหสีตามกฎหมายของพระองค์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย...แต่เดียซิร่าปฏิเสธ เพราะแม้ว่านางจะกระทำผิดศีลธรรมกับพี่ชายมากแค่ไหนก็ตาม แต่นางก็หน้าบางพอที่ไม่อาจบ้าจี้รับตำแหน่งพระมเหสีที่อาจทำให้คาลิกูลามีภาพลักษณ์เสื่อมเสียไปได้ นอกจากเดียซิร่าจะพอใจกับการเป็นมเหสีเงาอย่างลับๆ แล้ว นางก็ยังคงส่งเสริมให้คาลิกูล่าเสกสมรสใหม่อีกครั้งเช่นกัน

ว่ากันว่า คำปฏิเสธของเดียซิร่า สร้างความเจ็บช้ำใจ ให้กับคาลิกูลาเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่คิดเลยว่าหญิงที่พระองค์รักจะปฏิเสธข้อเสนออันกล้าหาญ (หรือบ้าบิ่น) ได้...เมื่อเสียใจมากก็ทรงโกรธมาก คาลิกูลารับปากเชิงประชดกับเดียซิร่าว่าจะเสกสมรสใหม่ตามที่นางปรารถนา คราวนี้คาลิกูลามีพระบัญชาให้มีประกาศเชิญหญิงงามทั่วกรุงโรมมาร่วมคัดตัวเป็นพระมเหสี โดยไม่แบ่งชนชั้นสถานภาพใด ขอให้มั่นใจว่าสวยเป็นพอ นอกจากนั้นคาลิกูลายังมีบัญชาเงื่อนไขเด็ดขาดกับเหล่าขุนนางว่า นี่จะเป็นการเลือกพระมเหสีเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าพระองค์จะเลือกใคร ก็ห้ามใครคัดค้านเป็นอันขาด...ซึ่งเหล่าขุนนางก็ยอมรับแต่โดยดี พวกเขาหวังว่าการสมรสล่มถึง 3 ครั้ง น่าจะทำให้จักพรรดิทรงเลือกหญิงที่เหมาะสมฐานะพระมเหสีมาดีกว่านี้แน่นอน

แล้วคาลิกูลาก็ได้ทีหักหน้าเหล่าขุนนาง เมื่อเขาเลือกมีโลเนีย คาสโซเนีย หญิงผู้งามที่สุดในโรม และเป็นนางกลางเมืองหรือโสเภณีที่โด่งดังที่สุด เป็นพระมเหสีแห่งอาณาจักรโรมัน!
สำหรับสังคมโรมันแล้ว การที่พระมเหสีจะเป็นหม้ายนั้นยังเป็นที่ยอมรับกันได้ แต่การยกย่องให้โสเภณีมาเป็นแม่ของแผ่นดินนั้น เป็นสิ่งที่รับไม่ได้เอามาก ๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดเงื่อนไขที่ได้ยอมรับไปแล้วว่าคาลิกูลาจะเลือกใครก็ห้ามคัดค้านเป็นอันขาด แม้ทุกคนร่วมถึงเดียซิร่าจะดูออกว่า คาสโซเนียเป็นหญิงกาลกิณีร้อยเล่ห์พันมารยา นางจะต้องนำความเสื่อมเสียมาสู่ราชสำนักแน่นอน

นอกจากจะประชดเหล่าขุนนางแล้ว การกระทำของคาลิกูลายังเป็นการประชดต่อเดียซิร่าอีกด้วย พระองค์แสดงให้นางเห็นว่าในเมื่อพระองค์มีความกล้าที่จะแต่งตั้งโสเภณีเป็นมเหสี พระองค์ก็มีความกล้าที่จะแต่งตั้งให้เดียซิร่าซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ได้เช่นกัน แต่ในเมื่อนางปฏิเสธคำขอของพระองค์ นี่จึงเป็นการประชดกับหญิงผู้เป็นที่รักอย่างเดียซิร่านั่นเอง นอกจากการประชดครั้งนี้แล้ว คาลิกูลายังมอบอำนาจพระมเหสีให้คาสโซเนียอย่างเต็มที่ ไม่ให้เดียซิร่าเป็นพระมเหสีเงาอีก ซึ่งเดียซิร่าก็ยอมรับโดยดุษฎี

...แต่แม้จะประชดเดียซิร่าแค่ไหน พระองค์ก็ยังทรงรักและให้นางอยู่ข้างกายพระองค์อยู่ตลอดเวลาเหมือนเดิม เดียซิร่าจึงยังคงปลอดภัยจากการปองร้ายของคาสโซเนียที่ต้องการกำจัดหอกข้างแคร่อย่างนางไป เดียซิร่ายังคงถวายการดูแลแนะนำในเรื่องที่ดีให้กับคาลิกูลาเท่าที่นางพอจะทำได้ เดียซิร่าหวังว่าหากนางยังอยู่เคียงข้างคาลิกูลาต่อไป พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรผิดนอกลู่นอกทางไปตามเล่ห์กลของคาสโซเนียแน่นอน เพราะคาลิกูลาไม่เชื่อคำพูดของใครเลย นอกจากเดียซิร่าคนเดียว

จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้เกิดไข้ทรพิษระบาดติดต่อไปทั่วกรุงโรม ผู้คนบาดเจ็บล่มตายราวใบไม้ร่วง โรคร้ายเข้าคร่าชีวิตมนุษย์ไม่เลือกอายุ เพศ หรือชนชั้น ไม่เลือกยาจกหรือเศรษฐี ร่วมถึงจักรพรรดิคาลิกูลาด้วย! โรคร้ายทำเอาพระองค์ถึงกับไข้ขึ้นสูงไม่สามารถขยับพระวรกายจากพระแท่นได้เลยด้วยซ้ำ แพทย์หลวงได้แต่รักษาพระอาการอย่างระมัดระวังขและลาดกลัว ขุนนางรวมถึงพระมเหสีไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พระองค์สักนิดด้วยกลัวจะติดโรคเช่นกัน...ไม่มีใครเลยยกเว้น เดียซิร่า!?

เดียซิร่าเป็นเพียงคนเดียวที่พยาบาลดูแลคาลิกูลาข้างแท่นบรรทมอย่างไม่รังเกียจหรือกลัวโรคติดต่อ การกระทำของนางแสดงให้เห็นถึงความรักและจงรักภักดีต่อคาลิกูลาอย่างถวายชีวิตหมดหัวใจ ไม่ว่ายามที่พระองค์สุขหรือทุกข์ ไม่ว่าใครจะรักหรือชังพระองค์ นางจะอยู่ข้างพระองค์เสมอ ในที่สุดอานุภาพความรักของนางก็ทำให้คาลิกูลารอดพ้นพญามัจจุราชไปได้อย่างเหลือเชื่อ!

แต่พญามัจจุราชกลับได้พรากเอาชีวิตของเดียซิร่าไปเป็นการแลกเปลี่ยน! เมื่อนางได้ติดไข้ทรพิษจากคาลิกูลาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในที่สุดเดียซิร่าจากโลกนี้ไปหลังจากที่คาลิกูลาหายดีในทันที การตายของพระขนิษฐาสร้างความสะเทือนพระทัยอย่างใหญ่หลวงมหาศาลให้กับคาลิกูลาเป็นอันมาก พระองค์ถึงบ้าคลั่งโวยวายไม่ยอมให้ใครแตะต้องศพของนาง หนำซ้ำยังทรงพระสติฟั่นเฟือง ทรงกอดร่างไร้วิญญาณของเดียซิร่า พานางไปเต้นรำ พูดคุยและหัวเราะกับศพของนางภายในสวนของพระราชวังกลางสายฝนที่ตกลงมา ประหนึ่งร่วมแสดงความเสียใจไปกับจักรพรรดิด้วย กว่าหลายวันทีเดียวที่คาลิกูลาจะยอมรับได้ พระองค์มีบัญชาให้ฝังหลุมศพของนางในสวนสวยท่ามกลางดอกไม้อันงดงามหอมกรุ่น ดุจเป็นการสร้างสวนสวรรค์ให้เกียรติกับหญิงเดียวผู้เป็นที่รักแรกและสุดท้าย

เมื่อขาดหญิงรู้ใจอันดีงามแล้ว ความหวังที่จะเป็นมหาราชที่ดีก็เหมือนตายไปพร้อมกับเดียซิร่าด้วย ประกอบกับผลข้างเคียงของไข้ทรพิษและความที่มีสายเลือดบ้าอำมหิตในองค์เองอยู่แล้ว ทำให้คาลิกูลาถึงกับฟั่นเฟือนเป็นจิตเภทไปเลยทีเดียว ยิ่งได้มเหสีมากเล่ห์อย่างคาสโซเนียมาเคียงข้างแทนแล้ว ความบ้าคลั่งของคาลิกูลาก็เริ่มปรากฏชัดเจนและไร้การควบคุมมากยิ่งขึ้น

คาสโซเนียเป็นหญิงกลางเมืองที่มีรสนิยมทางเพศวิตถารและชอบเสพบันเทิงแบบนองเลือดมากเป็นพิเศษ สันดานของนางทำให้คาลิกูลาเริ่มติดนิสัยของนางเข้าไปด้วย เมื่อไม่มีเดียซิร่าคอยเตือนสติ คาลิกูลาเริ่มปล่อยปละตัวเอง ปล่อยขุนนางบริหารบ้านเมืองไปแทน วันๆ เอาแต่จมอยู่กับงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสุราและนารี และงานเลี้ยงนั้นก็เป็นงานร่วมประเวณีหมู่ เลยเถิดไปกว่านั้นก็คือ คาลิกูลาถึงขนาดให้มเหสีต้อนรับพระสหายของพระองค์ในงานเลี้ยง ด้วยการให้นางร่วมประเวณีหมู่กับพวกเขาต่อหน้าต่อตาพระองค์และแขกเหรื่ออย่างไม่อายฟ้าดิน ซึ่งคาสโซเนียก็สนองอย่างเต็มใจตามนิสัยร่านราคะของนาง

การจัดงานเลี้ยงกามวิตถารมีขึ้นทุกคืนวันไม่รู้จักจบสิ้น โชคยังดีสำหรับบ้านเมืองที่ล้วนมีขุนนางตงฉินค่อยประคับประคองบริหาร แต่หากปล่อยให้จักรพรรดิเริงสำราญไปนาน จะทำให้บ้านเมืองสั่นคลอนได้ ดังนั้นจึงมีขุนนางจำนวนหนึ่งได้เข้าเฝ้าทูลขอให้คาลิกูลาเพลางานเลี้ยงลง และกลับมาบริหารบ้านเมืองอย่างเดิม...คาลิกูลาได้ตอบรับกลับมาโดยให้ ขุนนางถึง 1 ใน 3 ถูกจับประหารชีวิตโทษฐานที่บังอาจมาสอนสั่งพระองค์ หนำซ้ำยังให้ริบทรัพย์สินของขุนนางที่ถูกประหารไปหมด ตั้งแต่นั้นมาหากใครที่ไม่ประจบสอพลอคาลิกูลา ก็จำต้องปิดปากเงียบเพื่อรักษาชีวิต

ความฟั่นเฟือนของคาลิกูลายังไม่หมดแค่นั้น พระองค์ถึงขนาดเข้าใจว่าทรงเป็นมหาเทพลงมาจุติ ทรงมีบัญชาให้ช่างปะติมากรรมตัดเศียรของเทพเจ้าและเทพีทุกองค์ตามวิหารทั่วกรุงโรมออกให้หมด จากนั้นให้นำพระฉายาลักษณ์ของพระองค์และมเหสีสวมลงแทน ประหนึ่งประกาศทั้งสองเป็นมหาเทพจูปิเตอร์กับมหาเทพีจูโน่แห่งโอลิมปัส 
(เทียบเท่ามหาเทพซูสกับมหาเทพีเฮร่าของกรีซ)
นอกจากการจัดงานเลี้ยงอันเน่าเฟะในราชสำนักแล้ว คาลิกูลายังโปรดให้มีการจัดแข่งขันการประลองต่อสู้แบบแกลดิเอเตอร์ในลานประลองโคลีเซี่ยมแทบทุกวันตามคำแนะนำของคาสโซเนีย นักสู้ต้องต่อสู้และเสียชีวิตไปจำนวนมากจนไม่พอจัดรายการ ต่อมาก็ใช้การโชว์โยนนักโทษให้สัตว์ป่าฉีกกินเป็นอาหาร

...เท่านั้นยังไม่พอ คาลิกูลายังใช้ลานประลองให้เป็นประโยชน์ โดยการบังคับให้พระอนุชาบุญธรรม (พระโอรสแท้ๆ ของไทเบอรีอัส) เข้าร่วมการต่อสู้กับสิงโตเพื่อพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชาย เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยจับดาบต่อสู้จึงจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ถูกสิงโตรุมฉีกเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางสายตาอันรู้สึกหวาดสะพรึงกลัวของประชาชน ผิดกับคาลิกูลาและคาสโซเนียที่สำราญเริงร่าที่ใช้โอกาสนี่กำจัดทายาทชอบธรรมองค์สุดท้ายของไทเบอรีอัสไปได้อย่างไม่ต้องลงมือเอง

รายการบล็อกของฉัน