![]() |
ภาพ 1 : ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 อาจจะถูกฆาตกรรมโดยองครักษ์ของพระองค์เอง
ภาพ 2 : มัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 3 แรกเริ่มค้นพบมีผ้าพันบริเวณรอบลำคอจึงยังไม่มีใครสังเกตเห็นแผลฉกรรจ์จากของมีคม
ภาพ 3 : หลักฐานจากการทำซีทีสแกน แสดงให้เห็นว่าบริเวณลำคอของฟาโรห์รามเสสที่ 3 มีร่องรอยบาดแผลลึกที่อาจจะเกิดจากการเฉือนฟันอย่างรุนแรงของมีดที่คมกริบ
ภาพ 4 : มัมมี่ชายนิรนาม อี อาจจะเป็นเจ้าชายเพนเทวีเรที่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในคุก
|
◕‿- สามฟาโรห์ผู้โชคร้ายที่ (อาจจะ) ถูกฆาตกรรม-
บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการลอบสังหารหรือคดีฆาตกรรมเหล่าผู้นำประเทศต่างๆ ที่อาจจะมีสาเหตุแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นความโลภในตำแหน่ง เงินทอง ความอิจฉาริษยาหรือความอาฆาตแค้นส่วนตัว ซึ่งก็นำมาซึ่งการวางแผนเล่นไม่ซื่อจนต้องจบลงที่การฆาตกรรม แต่แนวความคิดเรื่องการ “ลอบสังหาร” เช่นนี้ก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่เท่านั้น เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายพันปีก่อนในอารยธรรมอียิปต์โบราณ ก็พบว่าชาวไอยคุปต์มีการลอบสังหารฟาโรห์ด้วยเช่นกัน ซึ่งฟาโรห์ผู้โชคร้ายที่(อาจจะ)ถูกลอบสังหารและต้องตกเป็นเหยื่อของคดีฆาตกรรมก็มีอยู่ด้วยกันถึง 3 รายเลยทีเดียว!!
ฟาโรห์องค์แรกที่มีหลักฐานว่าพระองค์น่าจะถูกลอบปลงพระชนม์มีชีวิตอยู่ในสมัยราชอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) เมื่อประมาณ 2,300 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์เป็นฟาโรห์องค์แรกของราชวงศ์ที่ 6 นามว่า “เตติ” (Teti) ผู้ที่บันทึกถึงเรื่องราวการลอบสังหารในครั้งนี้มีชื่อว่า “มาเนโธ” (Manetho) เขาเป็นนักบวชชั้นสูงของเทพราแห่งเมืองเฮลิโอโพลิสซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณปี 300 ปีก่อนคริสตกาล มาเนโธได้บันทึกถึงการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์เตติไว้ว่า พระองค์ถูก “ลอบปลงพระชนม์” โดยเป็นฝีมือของคนใกล้ตัวเสียด้วย เพราะผู้ที่ลอบสังหารฟาโรห์เตตินั้นก็คือ “องครักษ์” (Bodyguard) ของพระองค์นั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น นักอียิปต์วิทยาก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจะมาสรุปว่าฟาโรห์เตตินั้นถูกฆาตกรรมจริงหรือไม่ เพราะหลักฐานเดียวที่เรามีก็คือบันทึกของนักบวชมาเนโธที่มีชีวิตอยู่หลังจากที่ฟาโรห์เตติครองราชย์อยู่ถึงสองพันปี แน่นอนว่ามาเนโธไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของเขาเอง แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่มาเนโธบันทึกเอาไว้นั้นจะถูกต้องตามไปด้วย? ดังนั้นเราจึงอาจจะกล่าวได้เพียงแค่ว่าฟาโรห์เตติอาจจะถูกลอบปลงพระชนม์จริง แต่ตราบเท่าที่ยังไม่มีหลักฐานมายืนยัน เราก็ยังไม่สามารถฟันธงให้ชัดเจนลงไปได้แต่อย่างใด
แต่ถึงอย่างนั้น นักอียิปต์วิทยาก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจะมาสรุปว่าฟาโรห์เตตินั้นถูกฆาตกรรมจริงหรือไม่ เพราะหลักฐานเดียวที่เรามีก็คือบันทึกของนักบวชมาเนโธที่มีชีวิตอยู่หลังจากที่ฟาโรห์เตติครองราชย์อยู่ถึงสองพันปี แน่นอนว่ามาเนโธไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของเขาเอง แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่มาเนโธบันทึกเอาไว้นั้นจะถูกต้องตามไปด้วย? ดังนั้นเราจึงอาจจะกล่าวได้เพียงแค่ว่าฟาโรห์เตติอาจจะถูกลอบปลงพระชนม์จริง แต่ตราบเท่าที่ยังไม่มีหลักฐานมายืนยัน เราก็ยังไม่สามารถฟันธงให้ชัดเจนลงไปได้แต่อย่างใด
ฟาโรห์ผู้โชคร้ายองค์ที่สองที่อาจจะถูกลอบปลงพระชนม์มีชีวิตอยู่ในสมัยราชอาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) พระองค์คือ “อเมนเอมฮัตที่ 1” (Amenemhat I) เป็นฟาโรห์องค์แรกของราชวงศ์ที่ 12 ที่ครองราชย์อยู่เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์องค์นี้ก็คือพระองค์อาจจะตกเป็นเหยื่อของการก่อกบฏจากฮาเร็ม (Harem) ของพระองค์เองก็เป็นได้
หลักฐานที่กล่าวว่า
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ถูกฆาตกรรมนั้นมีเด่น ๆ อยู่ 2 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นที่รู้จักกันในชื่อตำนานการผจญภัยของสินูเฮ (The Story of Sinuhe) อีกชิ้นหนึ่งเรียกว่าคำสั่งสอนของอเมนเอมฮัต (Instructions of Amenemhat) ซึ่งหลักฐานทั้งสองชิ้นต่างก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว
ตำนานการผจญภัยของสินูเฮ กล่าวว่าในขณะที่เจ้าชายเซนุสเรต (Senusret) ซึ่งเป็นโอรสของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 กำลังออกเดินทางสำรวจแถบประเทศลิเบียอยู่นั้น พระองค์ก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์เสียแล้ว และเมื่อสินูเฮที่ร่วมอยู่ในขบวนสำรวจด้วยได้ทราบเรื่องว่าฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ถูกฆาตกรรมนั้น เขาก็วิ่งหนีออกไปจากขบวนทันทีแบบมีพิรุธสุดๆ
หลักฐานชิ้นที่สองคือคำสั่งสอนของอเมนเอมฮัตที่เขียนขึ้นเพื่อเตือนใจโอรสของตนเองนั่นก็คือเจ้าชายเซนุสเรตไม่ให้ไว้ใจใครทั้งสิ้น งานเขียนนี้ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้ว่า ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 นั้นอาจจะถูกลอบปลงพระชนม์โดยกบฏที่บางทีอาจจะถูกฝึกมาจากในพระราชวังก็เป็นได้ แถมเจ้านักฆ่ายังได้เข้ามาสังหารฟาโรห์ในขณะที่พระองค์กำลังจะเคลิ้มหลับจนไม่อาจป้องกันตัวได้อีกด้วย นอกจากนั้นแล้วมาเนโธเจ้าเก่ายังได้บันทึกเอาไว้ว่าฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 นั้นถูกลอบปลงพระชนม์โดย “ขันที” (Eunuch) ของพระองค์เอง แต่บางทีคำว่าขันทีนั้นอาจจะหมายถึง “องครักษ์” ของพระองค์เสียมากกว่า
หลักฐานที่กล่าวว่า
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ถูกฆาตกรรมนั้นมีเด่น ๆ อยู่ 2 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นที่รู้จักกันในชื่อตำนานการผจญภัยของสินูเฮ (The Story of Sinuhe) อีกชิ้นหนึ่งเรียกว่าคำสั่งสอนของอเมนเอมฮัต (Instructions of Amenemhat) ซึ่งหลักฐานทั้งสองชิ้นต่างก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว
ตำนานการผจญภัยของสินูเฮ กล่าวว่าในขณะที่เจ้าชายเซนุสเรต (Senusret) ซึ่งเป็นโอรสของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 กำลังออกเดินทางสำรวจแถบประเทศลิเบียอยู่นั้น พระองค์ก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์เสียแล้ว และเมื่อสินูเฮที่ร่วมอยู่ในขบวนสำรวจด้วยได้ทราบเรื่องว่าฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ถูกฆาตกรรมนั้น เขาก็วิ่งหนีออกไปจากขบวนทันทีแบบมีพิรุธสุดๆ
หลักฐานชิ้นที่สองคือคำสั่งสอนของอเมนเอมฮัตที่เขียนขึ้นเพื่อเตือนใจโอรสของตนเองนั่นก็คือเจ้าชายเซนุสเรตไม่ให้ไว้ใจใครทั้งสิ้น งานเขียนนี้ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้ว่า ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 นั้นอาจจะถูกลอบปลงพระชนม์โดยกบฏที่บางทีอาจจะถูกฝึกมาจากในพระราชวังก็เป็นได้ แถมเจ้านักฆ่ายังได้เข้ามาสังหารฟาโรห์ในขณะที่พระองค์กำลังจะเคลิ้มหลับจนไม่อาจป้องกันตัวได้อีกด้วย นอกจากนั้นแล้วมาเนโธเจ้าเก่ายังได้บันทึกเอาไว้ว่าฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 นั้นถูกลอบปลงพระชนม์โดย “ขันที” (Eunuch) ของพระองค์เอง แต่บางทีคำว่าขันทีนั้นอาจจะหมายถึง “องครักษ์” ของพระองค์เสียมากกว่า
ฟาโรห์ผู้โชคร้ายองค์สุดท้ายที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าถูกฆาตกรรมอย่างแน่นอนก็คือฟาโรห์ “รามเสสที่ 3” (Ramses III) แห่งราชวงศ์ที่ 20 ในสมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) เมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง สาเหตุที่นักอียิปต์วิทยามั่นใจว่าฟาโรห์รามเสสที่ 3 ถูกฆาตกรรมแน่ๆ ก็คือหลักฐานจากปาปิรัสอย่างน้อย 4 ม้วนที่หลงเหลือมาให้เราได้ศึกษา และที่สำคัญก็คือมันได้ระบุลึกลงไปถึงรายชื่อของผู้สมรู้ร่วมคิด รวมทั้งบทลงโทษที่พวกเขาได้รับอีกด้วย
ตัวการสำคัญของคดีนี้ที่ปาปิรัสได้บันทึกไว้ก็คือมเหสีองค์รองของรามเสสที่ 3 ที่มีพระนามว่า “ตีย์” (Tiy) เธอต้องการให้เจ้าชายเพนเทวีเร (Pentewere) ซึ่งเป็นโอรสของนางขึ้นครองราชย์ จากหลักฐานในปาปิรัสทำให้เราพอจะทราบว่าสุดท้ายแล้วเจ้าชายเพนเทวีเรถูกตัดสินให้ไปฆ่าตัวตายในคุก ส่วนพระนางตีย์ก็ไม่รอดเช่นกัน
นักอียิปต์วิทยาค้นพบมัมมี่ปริศนาร่างหนึ่งที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมาน เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ชายนิรนาม อี” (Unknown Man E) มือและเท้าของเขาถูกมัด แถมศพถูกหุ้มด้วยหนังแกะซึ่งเป็นวัสดุที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ นั่นหมายความว่ามัมมี่ร่างนี้อาจจะเป็นเจ้าชายเพนเทวีเรที่ต้องโทษประหารชีวิตก็เป็นได้
ล่าสุดเมื่อกลางเดือนมีนาคม พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา ทีมนักอียิปต์วิทยาได้นำมัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่ 3 มาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งด้วยวิธีซีทีสแกน (CTScan) สามมิติแล้วก็ได้พบหลักฐานที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนอกจากจะพบว่าลำคอของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ถูกเฉือนจนเป็นแผลฉกรรจ์แล้ว
ล่าสุดเมื่อกลางเดือนมีนาคม พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา ทีมนักอียิปต์วิทยาได้นำมัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่ 3 มาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งด้วยวิธีซีทีสแกน (CTScan) สามมิติแล้วก็ได้พบหลักฐานที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนอกจากจะพบว่าลำคอของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ถูกเฉือนจนเป็นแผลฉกรรจ์แล้ว
นิ้วโป้งเท้าข้างหนึ่งของพระองค์ยังถูกตัดขาดออกไปด้วยเช่นกัน!!
จากหลักฐานของรอยแผลบริเวณลำคอของมัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 3 พบว่ามีการถูกเฉือนด้วยของมีคม เช่น มีด หรืออาจจะเป็นกริช ทว่ารอยแผลจากนิ้วโป้งเท้าบ่งบอกว่ามันอาจจะถูก “ขวาน” เฉือนออกไป นั่นหมายความว่าบางทีนักฆ่าที่ถูกส่งมาลอบสังหารฟาโรห์รามเสสที่ 3 นั้นไม่น่าจะมีเพียงแค่คนเดียว แต่ต้องมีอย่างน้อยสองคนขึ้นไป บางทีคนร้ายคนแรกอาจจะถือขวานพุ่งเข้าโจมตีฟาโรห์รามเสสที่ 3 จากทางด้านหน้า ในขณะที่นักฆ่าคนที่สองถือมีดหรือไม่ก็กริชพุ่งเข้ามาเชือดคอพระองค์จากทางด้านหลัง และบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอนั้นก็ส่งผลให้ฟาโรห์รามเสสที่ 3 สิ้นพระชนม์แทบจะในทันที
ถึงแม้ว่าการฆาตกรรมในครั้งนั้นจะสำเร็จ แต่ปาปิรัสทั้ง 4 ม้วนก็ได้บอกเป็นนัยว่าคนร้ายได้รับโทษไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นฟาโรห์ที่ครองราชย์ต่อจากรามเสสที่ 3 ย่อมต้องเป็น “ฟาโรห์เพนเทวีเร” ไม่ใช่ “ฟาโรห์รามเสสที่ 4” อย่างที่ปรากฏในตำราประวัติศาสตร์ทุกวันนี้อย่างแน่นอน....
ถึงแม้ว่าการฆาตกรรมในครั้งนั้นจะสำเร็จ แต่ปาปิรัสทั้ง 4 ม้วนก็ได้บอกเป็นนัยว่าคนร้ายได้รับโทษไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นฟาโรห์ที่ครองราชย์ต่อจากรามเสสที่ 3 ย่อมต้องเป็น “ฟาโรห์เพนเทวีเร” ไม่ใช่ “ฟาโรห์รามเสสที่ 4” อย่างที่ปรากฏในตำราประวัติศาสตร์ทุกวันนี้อย่างแน่นอน....
โดย ณัฐพล เดชขจร
ที่มา:http://www.gypzyworld.com/article/view/723
ที่มา:http://www.gypzyworld.com/article/view/723