![]() |
ณ ใจกลางเมืองจี่หนาน มณฑลซานตง ประเทศจีนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ “ทุกบ้านมีธารน้ำพุ ทุกเรือนมีต้นหลิ่ว” บริเวณใจกลางเมืองมีบ่อน้ำพุ “เป้าทูเฉวียน” ด้วยเพราะน้ำในบ่อน้ำพุแห่งนี้ใสกระจ่างและมีน้ำผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “บ่อน้ำพุอันดับหนึ่งในใต้หล้า” และเมืองจี่หนานก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งบ่อน้ำพุ ในสมัยราชวงศ์ซ่งเมื่อ 900 กว่าปีก่อน ในกลุ่มหว่านเยวีย1มีกวีฉือ2หญิงท่านหนึ่งถือกำเนิดขึ้นที่ริมบ่อน้ำพุแห่งนี้ หลิน เกิง กวีจีนในยุดโมเดิร์นได้กล่าวว่า “ในบรรดากวีหญิงของจีน ผู้ที่ได้รับการยอมรับในประวัติศาสตร์วรรณคดีจีน ก็มีแต่เธอผู้นี้เท่านั้น” กวีฉือหญิงท่านนี้ก็คือ หลี่ ชิงจ้าว
เธอ มีสำนวนที่เฉียบคม
หลี่ ชิงจ้าวเกิดในครอบครัวปัญญาชนเมื่อปีค.ศ.1084 ได้รับการศึกษาและอบรมที่ดีตั้งแต่วัยเยาว์ จึงเป็นผู้ที่มีการศึกษาและความรู้ทางวัฒนธรรมเป็นอย่างดี สภาพครอบครัวของเธอได้หล่อหลอมให้เธอรักวรรณคดี เธอจึงได้ชื่อว่าเป็น “อัจฉริยะสตรี” ตั้งแต่ยังเป็นดรุณีแรกรุ่น
เมืองแห่งบ่อน้ำพุอุดมไปด้วยน้ำ และบ้านของหลี่ ชิงจ้าวก็ตั้งอยู่ริมทะเลสาบต้าหมิงพอดี ในช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เธอชอบพายเรือในบึงบัวกับเพื่อนๆ มีครั้งหนึ่งระหว่างทางกลับ พวกเธอหลงเข้าไปหลืบลึกของบึงบัว พวกเธอจึงช่วยกันออกแรงพายเรือ ทำให้นกกระยางริมฝั่งตกใจจนกระพือปีกบินหนีไป ดังนั้นจึงเกิดเป็นบทกวีวรรคทองของหลี่ ชิงจ้าวที่ว่า “จ้วงพาย จ้วงพาย จนนกกระยางตกใจ” อักษรเพียงไม่กี่คำนี้แสดงให้เห็นภาพความปรองดองระหว่างคนกับธรรมชาติและภาพของหญิงสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์มีชีวิตโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษเธอ มีสายตาที่เฉียบแหลม
“บันทึกจารึกโบราณ (จินสือลู่)” ที่ทรงคุณค่าต่อคนรุ่นหลังจนสำเร็จลุล่วง บันทึกนี้รวบรวมอักษรบนศิลาจารึกตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินจนถึงสมัยราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถังและยุคห้าราชวงศ์ที่พวกเขาเคยพบเจอ นอกจากนี้เธอยังได้เขียน “บทส่งท้ายบันทึกจารึกโบราณ”
หลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิต ภายในบันทึกบรรยายถึงเรื่องราวการสะสมจารึกและภาพอักษรของเธอและสามี หลี่ ชิงจ้าวนับเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญแห่งวงการการศึกษาวิจัยจารึกจีนเทียบเท่ากับโอวหยาง ซิว กวีผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ซ่ง
เธอ ได้คู่ครองที่สมใจ
เธอ ได้คู่ครองที่สมใจ
เมื่อหลี่ ชิงจ้าวอายุได้ 18 ปี ก็แต่งงานกับมหาบัณฑิตจ้าว หมิงเฉิงซึ่งมีอายุมากกว่านาง 3 ปี จ้าว หมิงเฉิงเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีความรู้ลึกซึ้ง หลังจากแต่งงาน สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง สัมพันธภาพแน่นแฟ้น ทั้งสองช่วยกันรวบรวมภาพอักษรจากศิลาจารึกของผู้มีชื่อเสียงจากทั่วทุกหนแห่ง ทั้งยังร่วมกันศึกษาวัตถุโบราณ จนผู้คนพากันยกให้พวกเขาทั้งสองเป็นคู่ครองฟ้าประทาน
หลังจากจ้าว หมิงเฉิงไปทำงานต่างเมือง สองสามีภรรยาจึงจำต้องห่างไกลกัน ผลงานของหลี่ ชิงจ้าวในนั้น ทุกอักษรล้วนแฝงความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายและคนึงหาที่ซ่อนอยู่ภายในใจ เธอเขียนบทกวีฉือ “อิเจี่ยนเหมย” บนผ้าเช็ดหน้าที่ส่งไปให้สามี บทกลอนดังกล่าวมีอยู่ว่า
“ความคิดถึงเดียวกัน ทุกข์ระทมสองสถาน ความรู้สึกนี้ไร้ทางบรรเทา ขมวดปมคิ้ว กลับแล่นสู่ใจ” วันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของจีนเป็นวันเทศกาลฉงหยัง เป็นช่วงเวลาที่ลมตะวันตกพัดผ่านมา และเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง สรรพสิ่งต่างร่วงโรยบรรยากาศเช่นนี้ทำให้หลี่ ชิงจ้าวรู้สึกทุกข์ระทมขมขื่น ค่ำคืนไม่อาจข่มตาหลับ ดังนั้น เธอจึงประพันธ์บทกวีวรรคทองที่ว่า “อย่าเอ่ยว่ามิระทม ลมตะวันตกเลิกชายม่าน คนซูบผอมกว่าดอกเบญจมาศ”
จากนั้น เธอ ก็จากไปอย่างสงบ
ในช่วงที่หลี่ ชิงจ้าวอายุใกล้จะ 40 ปี รัฐจินทางตอนเหนือบุกลงมารุกรานทางตอนใต้ และชีวิตที่เงียบสงบของหลี่ ชิงจ้าวก็เปลี่ยนแปลงไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่ามกลางสงครามที่วุ่นวาย เธอกับสามีต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน วัตถุโบราณและภาพอักษรที่สะสมมาหลายปีต้องมาชำรุดเสียหาย หลายปีต่อมา จ้าว หมิงเฉิงก็ล้มป่วยและจากเธอไป ประเทศชาติที่ล่มสลายและครอบครัวที่แตกสลายทำให้หลี่ ชิงจ้าวเศร้าโศกเสียใจ เธอต้องรอนแรมไปทั่ว ภาพอันเปลี่ยวเหงาเบื้องหน้าทำให้เธอประพันธ์บทกวีคำซ้ำ 14 อักษรที่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจว่า
“ค้นค้นหาหา เงียบเงียบเหงาเหงา โศกโศกเศร้าเศร้าตรอมตรม” ความเจ็บปวดทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสของเธอถูกถ่ายทอดออกมาด้วยกลวิธีการประพันธ์ที่แยบยลและถ้อยคำที่แยบคายราวกับสรวงสวรรค์ประทานให้มา
ในช่วงบั้นปลายชีวิต เธออยากจะกลับไปยังถิ่นกำเนิด แต่ก็ไม่อาจสมหวังดังปรารถนา ท้ายที่สุดเธอก็จากโลกนี้ไปพร้อมกับความคิดถึงคนึงหาญาติมิตรที่ล่วงลับและความผิดหวังที่ไม่อาจได้กลับบ้านเกิด ไข่มุกเม็ดงามส่องประกายจรัสแสงเม็ดหนึ่งในวงการบทประพันธ์ฉือแห่งราชวงศ์ซ่งในที่สุดก็ร่วงหล่นลงอย่างเงียบเหงาที่เมืองจินฮว๋า มณฑลเจ้อเจียง
ในช่วงบั้นปลายชีวิต เธออยากจะกลับไปยังถิ่นกำเนิด แต่ก็ไม่อาจสมหวังดังปรารถนา ท้ายที่สุดเธอก็จากโลกนี้ไปพร้อมกับความคิดถึงคนึงหาญาติมิตรที่ล่วงลับและความผิดหวังที่ไม่อาจได้กลับบ้านเกิด ไข่มุกเม็ดงามส่องประกายจรัสแสงเม็ดหนึ่งในวงการบทประพันธ์ฉือแห่งราชวงศ์ซ่งในที่สุดก็ร่วงหล่นลงอย่างเงียบเหงาที่เมืองจินฮว๋า มณฑลเจ้อเจียง
หลี่ ชิงจ้าวนับเป็นกวีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่งในวงการวรรณกรรมจีน
บทกวีของเธอสะท้อนความในใจของสตรีที่ละเอียดอ่อนละเมียดละไมให้ชาวโลกได้รู้ด้วยอัจฉริยภาพผ่านสายตาอันแหลมคมของเธอ เธอมีคู่ครองที่ดีและชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน เมื่อเทียบกับสตรีโบราณส่วนใหญ่ของจีนแล้ว เธอนับว่าโชคดีมาก ทว่าในใจของเธอ นอกจากความรักฉันหนุ่มสาวแล้ว ยังมีความรักต่อประเทศชาติอีกด้วย ท่ามกลางไฟสงครามที่คุโชน เธอได้แสดงความปรารถนาในสันติภาพที่ทุกคนล้วนเสาะแสวงหา แม้ว่าหลังจากที่เธอสิ้นลม จะไม่มีแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพ แต่ชื่อของเธอได้ถูกจารึกให้อยู่ในวงการประวัติศาสตร์วรรณคดีจีนโบราณอย่างไม่อาจมีผู้ใดเสมอเหมือน
หมายเหตุ:
1 กลุ่มหว่านเยวีย คือ หนึ่งในกลุ่มนักกวีที่ประพันธ์ฉือสมัยราชวงศ์ซ่ง กลอนแบบหว่านเยวียมีจุดเด่นที่ความอ่อนโยน งดงาม เนื้อหาส่วนใหญ่เน้นเรื่องราวความรักและความแค้นที่ดูสวยงาม มีโครงสร้างละเอียด ท่วงทำนองกลมกลืน ภาษาอ่อนโยนสดใส
2 ฉือคือรูปแบบการประพันธ์โคลงกลอนจีนโบราณประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ใต้ แต่เป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์ซ่ง สามารถนำไปร้องประกอบดนตรีได้