ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โบดิก้าราชินีแห่งคนเถื่อน !!


โบดิก้า ราชินีแห่งคนเถื่อน
ท่ามกลางแสงเจิดจ้าแห่งแสนยานุภาพของจักรวรรดิโรมัน ยังมีสตรีคนเถื่อนผู้หนึ่งที่หาญกล้าลุกขึ้นสู้กับจักรวรรดิเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของนาง
สองพันปีก่อน ดินแดนที่เป็นประเทศอังกฤษในปัจจุบันนี้ ถูกครอบครองโดยกลุ่มชนที่ถูกเรียกว่า ชาวไบรตัน (Briton) ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของพวกเซลติก (Celtic) ที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ พวกไบรตันอาศัยอยู่กันเป็นเผ่าย่อยๆหลายสิบเผ่ากระจายกันอยู่ทั่วไปบนเกาะอังกฤษ และต่างก็รบพุ่งกันเอง   โดยในสายตาของชาวโรมันนั้น พวกไบรตันถูกมองว่าเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนที่ล้าหลัง เนื่องจากชนกลุ่มนี้นิยมใช้สีแต้มตามเนื้อตัว พวกนักรบมักเปลือยท่อนบน และบางเผ่าก็เปลือยกายด้วย
          
ต่อมาในปี ค.ศ. 43 ซึ่งตรงกับยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส หลังจากจัดการกับความวุ่นวายในแถบเมดิเตอเรเนียนลงได้ จักรวรรดิโรมันก็ส่งกองทัพเข้ารุกรานเกาะอังกฤษ  ชาวไบรตันเผ่าต่าง ๆ ซึ่งไม่อาจต่อส้กับกองทัพโรมันได้ ต่างต้องยอมสยบแก่ผู้รุกราน หลังจากยึดครองเกาะอังกฤษได้แล้ว ชาวโรมันได้สร้างเมืองใหม่ขึ้น และจัดการปกครองเมืองเหล่านี้ ตามแบบเมืองอื่นของจักรวรรดิ โดยชาวไบรตันเผ่าต่าง ๆ ต้องเสียภาษีแก่โรม
          
ปี ค.ศ.60 ซึ่งเป็นรัชสมัยของจักรพรรดิเนโรนั้น  กษัตริย์แห่งเผ่าไอซินี่ (Iceni) นามว่า พราซูทากัส (Prasutagus) ได้เสียชีวิตลง โดยปราศจากผู้โอรส คงมีเพียงมเหสีนามว่าโบดิก้า (Bodicea) กับธิดาอีกสององค์เท่านั้น ทั้งนี้ก่อนตายเนื่องจากพราซูทากัสเกรงว่า ครอบครัวของตนจะลำบากเมื่อตนตายแล้ว ดังนั้นจึงทำพินัยกรรมให้ขุนนางโรมันที่เป็นข้าหลวงประจำเกาะอังกฤษชื่อ ดีเซียนุส คาตุส (Decianus Catus) ปกครองเผ่าไอซินี่ร่วมกับมเหสีของตน โดยหวังจะให้พวกโรมันคุ้มครองชนเผ่าของตน
          
ทว่าเหตุการณ์ไม่เป็นดังที่คิด ดีเซียนุส คาตุส ได้ประกาศครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดรวมทั้งเผ่าไอซีนี่แต่ผู้เดียว และทำการขูดรีดทรัพย์สินเงินทองต่างๆ พระนางโบดิก้าไม่ยินยอมและต่อต้านโดยการไม่ให้เผ่าของนางจ่ายเงินแก่โรม ดีเซียนุส คาตุสจึงตอบโต้โดยการส่งทหารเข้ามายังดินแดนของเผ่าและกวาดทรัพย์สินไปจนสิ้น และที่ร้ายที่สุดคือสั่งให้ทหารโรมันกระทำาการข่มขืนธิดาทั้งสองของพระนางโบดิก้าต่อหน้าพระนางเองด้วย
          
เหตุการณ์ทั้งหมดสร้างความโกรธแค้นให้แก่พระนางอย่างหาที่เปรียบมิได้ พระนางจึงปลุกระดมชาวไอซินี่รวมทั้งชาวไบรตันเผ่าต่างๆให้ลุกขึ้นต่อสู้กับโรมันและขับไล่ผู้รุกรานออกไป ชาวไบรตันทั้งหลายซึ่งล้วนไม่พอใจการกดขี่ของโรมันมานนาแล้วต่างขานรับการกบฏต่อจักรวรรดิในครั้งนี้ พระนางโบดิก้าจึงสามารถรวบรวมทัพได้ถึงหนึ่งแสนคนและยกเข้าโจมตีเมืองใหญ่สามเมืองที่พวกโรมันสร้างขึ้น คือ เมืองลอนดิเนี่ยม  เมืองคามูโลดูนั่มและเวรูลาเมี่ยม (ปัจจุบันคือเมืองลอนดอน, คลูเชสเตอร์และเซนต์อัลเบน)

ในเวลานั้น ซูโตนิอุส พอลินุส (Suetonius Paulinus) แม่ทัพโรมันพร้อมกำลังส่วนใหญ่ยกไปทำสงครามนอกเกาะอังกฤษ  ทำหใทหารโรมันที่ขาดผู้นำถูกสังหารอย่างทารุณ กองทัพของโบดิก้าได้รับคำสั่งให้สังหารชาวโรมันทุกคนและทำลายเมืองทั้งสามจนราบเรียบ ประวัติศาสตร์โรมันบันทึกไว้ว่า มีชาวโรมันทั้งชายหญิง เสียชีวิตในครั้งนี้ถึง 70,000 คน แต่อีเซียนุส คาตุสข้าหลวงใหญ่หนีไปได้ โดยหลบไปอยู่ที่กรีกและไม่กล้ากลับโรมเนื่องจากกลัวจะถูกลงโทษที่ทำให้เกิดกบฏขึ้น หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว ทั่วเกาะอังกฤษต่างเฉลิมฉลองให้กับอิสรภาพและไม่มีการจ่ายเงินให้กับโรมอีกต่อไป ชาวไบรตันทั่วอังกฤษต่างยกให้พระนางโบดิก้าเป็นผู้นำชาวเกาะทั้งมวล
          
ทว่าหลังจากพอลลินุสแม่ทัพโรมันทราบเรื่องก็รีบยกทัพกลับมาเพื่อปราบกบฏทันที  ฝ่ายไบรตันมั่นใจว่าจะชนะศึกอีก เนื่องจากมีกำลังมากกว่า โดยที่ลืมไปว่ากำลังส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาที่รวมตัวกันเพราะความแค้นโดยขาดความรู้ทางขาดยุทธวิธี อีกทั้งประสิทธิในการบก็ด้อยกว่ากองทัพโรมันมากนัก นอกจากนี้ในกองทัพยังมีเด็กและผู้หญิงรวมอยู่ด้วย
°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.★*

และในปี ค.ศ.61 กองทัพทั้งสองฝ่ายก็เผชิญหน้ากันที่ช่องเขาใกล้กับลอนดอน โดยทัพของโบดิก้ามีกำลังมากกว่าหนึ่งแสนคน ในขณะที่พวกโรมันมีเพียงสองหมื่นคนเท่านั้น
          
ก่อนการรบเริ่มขึ้น พระนางโบดิก้าปรากฏตัวบนรถศึกเทียมม้า หน้าแถวนักรบ จากนั้นจึงได้ให้สัญญาณกองทัพเข้าโจมตีข้าศึก โดยฝ่ายไบรตันได้พุ่งหอกเข้าใส่และเปิดฉากการรบทันที แม้ว่าฝ่ายไบรตันจะมีกำลังใจดีเยี่ยม แต่ทว่า ฝ่ายโรมันซึ่งเป็นทหารอาชีพที่มีวินัยดีกว่าพร้อมทั้งอาวุธที่มีประสิทธิภาพได้กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ
          
นักรบไบรตันถูกสังหารเป็นจำนวนมากขณะที่ทหารโรมันเดินหน้าเข้าประจัญบาน และในที่สุดกองทัพไบรตันก็พ่ายแพ้ โดยฝ่ายโรมันสังหารชาวไบรตันหลายหมื่นคน จนซากศพเต็มท้องทุ่ง แต่พระนางโบดิก้าหนีรอดไปได้  ประวัติศาสตร์โรมันบันทึกไว้ว่าหลังจากนั้นไม่นานพระนางก็ป่วยและเสียชีวิต แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพระนางโบดิก้าและธิดาทั้งสองปลิดชีพตัวเองด้วยยาพิษมากกว่าเนื่องจากไม่ยอมเสียเกียรติจากการถูกจับเป็นเชลย
          
หลังการศึกครั้งนี้ ซูโตนิอุส เสนอแก่จักรพรรดิเนโรว่า ควรจะกวาดล้างพวกที่ยังต่อต้านอยู่ให้สิ้นซาก แต่เนโรไม่เห็นด้วย และส่งข้าหลวงคนใหม่ที่มีความเป็นธรรมมาปกครองเกาะอังกฤษทำให้การต่อต้านยุติลง  แม้การกบฏครั้งนี้จะล้มเหลวแต่ก็ทำให้ชาวโรมันตระหนักว่าควรต้องปฏิบัติต่อชาวอังกฤษให้ดีกว่าเดิม เรื่องราวของพระนางโบดิก้าเป็นวีรกรรมที่เป็นที่รู้จักดีของชาวอังกฤษ และเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาในเรื่องราวความกล้าหาญของพระนางโบดิก้า ราชินีคนเถื่อนผู้หาญสู้กับจักรวรรดิโรมัน

โรมันนั้นมีความเชื่อทางศาสนาว่าห้ามฆ่าสาวพรหมจรรย์เพราะเทวีวีนัสจะโกรธ ดังนั้นบรรดาลูก ๆ ของพระนางโบดิก้าโดนจับลากเข้าไปในกระท่อมและข่มขืน ในขณะที่ตัวพระนางโดนจับมือมัดเหนือศีรษะ และเปลื้องผ้าต่อหน้าประชาชนชาวเมืองของตัวเอง ก่อนจะโดนเฆี่ยนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนางสลบไป และเมื่อฟื้นก็เฆี่ยนใหม่ พระนางไม่ยอมเป็นนางบำเรอเชลยของพวกแม่ทัพโรมัน นางจึงกินยาฆ่าตัวตายเพราะสงสารลูก ๆ และไม่ยอมสูญเสียศักดิ์ศรีี้
ชาวอังกฤษเชื่อว่าศพของนางอยู่ใต้สถานีรถไฟคิงครอส ป้ายที่ 10 กรุงลอนดอน และในปัจจุบันสถานที่เป็นบ้านเกิดของนางอยู่ในเขตเมืองนอร์โฟค มีคนเห็นวิญญาณเป็นกลุ่มหมอกสีขาวที่นั่นและเชื่อว่าเป็นวิญญาณของพระนางโบดิก้า....✎


รายการบล็อกของฉัน