ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2565

การค้นพบที่น่าทึ่งของ มัมมี่ถ้ำวิญญาณ (Spirit Cave Mummy)

การค้นพบที่น่าทึ่งของ มัมมี่ถ้ำวิญญาณ  (Spirit Cave Mummy)

(ภาพประกอบของมัมมี่ถ้ำวิญญาณ)ประเพณีทางวัฒนธรรมมากมายเกี่ยวกับความตายมีขึ้นเพื่อรักษามรดกของบุคคล แต่มีเพียงไม่กี่ร่างที่คาดว่าจะได้รับการจดจำไปอีกนาน พวกเขาอาจคิดไม่ถึงว่าจะมีการโต้เถียงและการไต่สวนทางวิทยาศาสตร์ ที่เกิดขึ้นหลังจากการตายของพวกเขาเมื่อหลายพันปีก่อน โดยเฉพาะกรณีของชายที่ถูกฝังอยู่ในถ้ำวิญญาณ (Spirit Cave) 13 ไมล์ทางตะวันออกของเมือง Fallon รัฐเนวาดา

ร่างกายที่ถูกเก็บรักษาไว้ตามธรรมชาตินี้ ถูกค้นพบครั้งแรกในทศวรรษที่ 1940 จากนั้นก็ถูกเก็บรักษาไว้จนถึงปี 1990 แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการต่อสู้เรื่องต้นกำเนิดมรดกทางวัฒนธรรมของผู้ตาย ระหว่างนักวิทยาศาสตร์และชาวอเมริกันพื้นเมือง

ย้อนกลับไปในปี 1940 นักโบราณคดี Sydney และ Georgia Wheeler ได้รับการว่าจ้างจากคณะกรรมการสวนสาธารณะแห่งรัฐเนวาดาให้ขุดถ้ำแห้งในพื้นที่ Lahontan Basin (เนวาดาตะวันตกเฉียงเหนือ) เนื่องจากถ้ำในภูมิภาคนี้มีการขุดขี้ค้างคาว ซึ่งจะทำลายแหล่งโบราณคดีที่ยังไม่ได้สำรวจ ดังนั้น รัฐจึงต้องการค้นหาและกอบกู้โบราณวัตถุใด ๆในพื้นที่ก่อน

ในฤดูร้อนนั้น ทั้งคู่เดินผ่านถ้ำหลายแห่งทั่วมณฑล Churchill County ในรัฐเนวาดาตะวันตกของสหรัฐอเมริกา วันหนึ่งในช่วงต้นเดือนสิงหาคม Sydney ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจากการหลบงูหางกระดิ่งที่ดุร้ายโดยไม่ถูกกัด เมื่อความคล่องตัวลดลงอย่างมาก ทั้งสองจึงเข้าหลบภัยในถ้ำ Spirit Cave ที่ยังไม่ได้สำรวจ ซึ่งในฐานะนักโบราณคดี พวกเขาจึงใช้เวลาโดยการตรวจสอบถ้ำไปด้วย

ทะเลสาบโบราณ Lahontan Basin ที่ตอนนี้แห้งไปนานแล้ว

จนกระทั่ง Wheeler ทั้งสองสะดุดเข้ากับศพสองศพที่ห่อด้วยผ้าทอ 2 ผืน (พืชที่เป็นหนองน้ำที่ใช้ทอผ้า) พร้อมกับสิ่งประดิษฐ์ 67 ชิ้น รวมทั้งมีด กระดูกสัตว์ และตะกร้า โดยร่างแรกอยู่ในสภาพไม่ดีนัก แต่ร่างที่สองถูกฝังลึกลงไปเล็กน้อยได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เชื่อกันว่าความร้อนและความแห้งแล้งของถ้ำในทะเลทรายทำให้ศพแห้งอย่างรวดเร็วและถูกทำให้ตายซากบางส่วน ในขณะที่ศีรษะที่มีผมอยู่เล็กน้อยยังคงสภาพสมบูรณ์

การวิจัยในเวลาต่อมาเปิดเผยว่า ชายคนนี้อายุ 45-55 และสูง 5 ฟุต 2 นิ้ว (1.57 เมตร) กะโหลกของเขาร้าวและมีฝีที่น่ากลัวในฟันซึ่งน่าจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคเหงือกที่เจ็บปวด เขาสวมรองเท้าหนังนิ่มและถูกห่อด้วยผ้าห่อศพที่ทออย่างประณีต บ่งบอกว่าผู้คนในพื้นที่นั้นมีการใช้เครื่องทอผ้ามาก่อน และยังพบกระดูกปลาในลำไส้ของเขา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของ Great Basin ในฐานะทะเลสาบก่อนที่น้ำจะแห้งเมื่อธารน้ำแข็งลดลง

Spirit Cave หรือ ถ้ำวิญญาณนั้น อยู่สูงขึ้นไปบนเนินทะเลทรายทางตอนเหนือของ Grimes Point ห่างจาก Reno ไปทางตะวันออกประมาณ 75 ไมล์
เมื่อพันปีก่อน ถ้ำเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของทะเลสาบ Lahontan ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งที่เพดานของถ้ำจะสังเกตได้ว่ามันประกอบด้วยคราบหินปูน ที่บ่งบอกว่าถ้ำนั้นจมอยู่ใต้ทะเลสาบเมื่อนานมาแล้ว ในระหว่างการขุดค้นในปี1940 มีการค้นพบวัตถุทางวัฒนธรรมและซากศพของมนุษย์สองร่าง โดยซากศพชุดหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม " มัมมี่ถ้ำวิญญาณ "

มัมมี่ขณะที่ถูกพบ ( friendsofpast.org )

ด้วยความช่วยเหลือของชาวท้องถิ่น Wheelers สามารถจัดการนำร่างที่คาดว่ามีอายุประมาณ 1,500 ปีเข้าเมืองได้อย่างระมัดระวัง จากนั้นใส่ไว้ในกล่องปิดผนึกบนชั้นวางของในพิพิธภัณฑ์รัฐเนวาดา จน Wheeler ทั้งสองได้เสียชีวิตโดยไม่เคยรู้ถึงการค้นพบที่น่าทึ่งของพวกเขา

จนในปี1994 R.Erv Taylor นักมานุษยวิทยาลุ่มน้ำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและทีมของเขา มีโอกาสมาเยี่ยมชม " มัมมี่ถ้ำวิญญาณ " และต้องการตรวจสอบอายุที่แท้จริงอีกครั้ง ซึ่งจากการทดสอบ 17 ตัวอย่าง รวมถึงเส้นผม กระดูก สิ่งทอและไม้ โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งมวลสาร ได้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจอย่างมาก ทีมจึงทำการตรวจสอบเป็นครั้งที่สองซึ่งยืนยันผลลัพธ์เดียวกันคือ มัมมี่ถูกฝังไว้เมื่อ10,600 ปีที่แล้ว

ต่อมาในปี 1997 ชนเผ่า Paiute-Shoshone แห่ง Fallon Reservation ของเนวาดาซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันที่ตั้งอยู่ในเนวาดาใกล้กับถ้ำวิญญาณ ได้ยื่นข้อเรียกร้อง NAGPRA เพื่อขอมัมมี่ Spirit Cave และสิ่งประดิษฐ์ที่พบกลับคืนสู่ชนเผ่าโดยอ้างว่ามีความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม ซึ่งในขณะนั้น มีพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งกลับหลุมฝังศพของชนพื้นเมืองอเมริกัน (NAGPRA) ที่ถูกตราขึ้นในปี 1990 เพื่อรักษาสถานที่ฝังศพของชนพื้นเมืองอเมริกันที่มีอยู่ และส่งคืนร่างศพให้กับชนเผ่าที่เหมาะสม

การสร้างใหม่จากกะโหลกศีรษะของมัมมี่ Spirit Cave ( friendsofpast.org )

อย่างไรก็ตาม สำนักงานจัดการที่ดินแห่งสหรัฐอเมริกา (BLM) ปฏิเสธคำขอของพวกเขา โดยระบุว่าจากการค้นพบเบื้องต้น Spirit Cave Mummy ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันที่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นการอ้างสิทธิ์ของ NAGPRA จึงไม่ถูกต้อง

ชนเผ่าดังกล่าวได้ฟ้องร้องรัฐบาลและจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงที่ยาวนานถึง 2 ทศวรรษว่าจะทำอย่างไรกับมัมมี่ โดยชนเผ่าต้องการการฝังศพที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกเขาอย่างเหมาะสม แต่นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าซากศพนั้นให้ข้อมูลเชิงลึกทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า และควรจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ จนถึงปี 2015 เมื่อชนเผ่าตกลงที่จะให้ศาสตราจารย์ Eske Willeslev ผู้เขียนนำของการศึกษาทำการทดสอบจีโนมกับมัมมี่

ด้วยการใช้ดีเอ็นเอที่สกัดจากกะโหลกศีรษะของมัมมี่ Willeslev สามารถระบุได้ว่า " Spirit Cave Mummy " เป็นสมาชิกของชนเผ่า Fallon Paiute-Shoshone และเป็นบรรพบุรุษของชนพื้นเมืองอเมริกันในปัจจุบัน ดังนั้น ร่างจึงถูกส่งคืนให้กับชนเผ่าในปี 2016 และในปี 2018 มีการฝังศพมัมมี่อย่างเหมาะสม

นอกจากมัมมี่ Spirit Cave แล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังได้วิเคราะห์ดีเอ็นเอของชุดซากโบราณที่มีชื่อเสียงอื่นๆและเป็นที่ถกเถียงกันในอเมริกาเหนือและใต้
อีกด้วย ซึ่งได้แก่ Si-TE-CAH โครงกระดูกในแหล่งโบราณคดี Lovelock, โครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุ 10,400 ปีที่ Lagoa Santa ในบราซิล,
มัมมี่อินคา และซากที่เก่าแก่ที่สุดใน Patagonia ของชิลี รวมถึงซากศพมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองจากถ้ำTrail Creek ในอลาสก้า ซึ่งเป็นเด็กสาวที่มีฟันน้ำนมอายุ 9,000 ปี

ถ้ำวิญญาณในเนวาดาซึ่งนักโบราณคดีค้นพบซากโบราณในปี 1940

นักวิทยาศาสตร์ได้จัดลำดับจีโนมโบราณ 15 จีโนมที่ครอบคลุม ตั้งแต่อลาสก้าไปจนถึงปาตาโกเนีย และสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของมนุษย์กลุ่มแรกที่แพร่กระจายไปทั่วทวีปอเมริกาในช่วงยุคน้ำแข็ง และวิธีที่พวกมันมีปฏิสัมพันธ์กันในช่วงพันปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เพียงค้นพบว่า

Spirit Cave เป็นมัมมี่ธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่เป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน แต่พวกเขาสามารถยกเลิกทฤษฎีที่มีมายาวนาน ในกลุ่มที่เรียกว่าชาว Paleoamericans นั้นมีอยู่ในอเมริกาเหนือก่อนชนพื้นเมืองอเมริกัน

ทั้งนี้ จีโนมของโครงกระดูก Spirit Cave มีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากไม่เพียงยุติข้อพิพาททางกฎหมายและวัฒนธรรมระหว่างชนเผ่ากับรัฐบาลเท่านั้น

แต่ยังช่วยเผยให้เห็นว่ามนุษย์ในสมัยโบราณเคลื่อนย้ายและตั้งถิ่นฐานอย่างไรในทวีปอเมริกา และนักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของประชากรจากอลาสก้าไปทางใต้ไกลถึง Patagonia และแยกตัวออกไปเป็นกลุ่มๆ แพร่กระจายไปทั่วทวีปต่างๆได้

กะโหลกศีรษะและซากศพมนุษย์อื่น ๆ เป็นของกลุ่มคนที่พบที่ Lagoa Santa ในบราซิล

Spirit Cave Man: World's Oldest Human Mummy

รายการบล็อกของฉัน