ต้นกำเนิดมนุษย์ในตำนานหลังคาโลก
ตำนานอันเก่าแก่ของทิเบต ได้เล่าขานสืบต่อๆกันมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับต้นกำเนิดมนุษย์ ตามความเชื่อที่แพร่หลายในทิเบต
เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงบรรพบุรุษของชาวทิเบต ว่าได้สืบเชื้อสายมาจากวานร และเรื่องราวในตำนาน หรือนิทานดังกล่าวนี้ยังมีเขียนไว้เป็นส่วนหนึ่งในบันทึกโบราณเรื่อง กษัตริย์แห่งถู่ปอ ซึ่งยังเล่าขานกันมาจนตราบปัจจุบัน
บันทึกดังกล่าวเล่าไว้ว่า เมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว พระมหาโพธิสัตตว์อวโลกิเตศวร ได้ทรงส่งเทพองค์หนึ่งมาจุติเป็นวาร (ลิง)เพื่อฝึกบำเพ็ญตน และร่ำเรียนพระพุทธศาสนาในดินแดนทิเบต
เมื่อศึกษาพระธรรมจนสำเร็จ รากษส หรือ นางอสูร (บ้างก็ว่าเป็นเทพธิดาแห่งก้อนหิน) ซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงได้มีความนิยมชมชื่น และขอร้องให้วานรนั้นมาวิวาห์กับตน
แต่วานรได้ตอบไปว่า ตนมาเกิดใหม่บนโลกนี้จากพระประสงค์ของพระอวโลกิเตศวรเจ้า จึงไม่อยากผิดคำสาบาน และความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
แต่เทพธิดาแห่งก้อนหินได้ยื่นคำขาดว่า หากวานรนั้นปฏิเสธไม่ยอมเป็นคู่ครอง นางก็จะขอตายอยู่ ณ. เบื้องหน้าทันที ! วานรจึงได้หวนกลับไปปรึกษากราบเรียนถามพระมหาโพธิสัตตว์จ้า เพื่อขอคำชี้แนะหนทาง โดยพระองค์ทรงประทานพระอนุญาตให้วานรตัวนั้น วิวาห์กับเทพธิดาแห่งก้อนหินได้
ในเวลาต่อมา นางก็ได้ให้กำเนิดบุตรเป็นวานรน้อย ๖ ตัว ซึ่งแต่ละตัวได้ถือกำเนิดจากภูมิต่างๆ ทั้ง ๖ แห่ง อันได้แก่ นรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ มนุษยภูมิ อสุรภูมิ และ เทวภูมิ จึงทำให้มีอุปนิสัยแตกต่างกันไปตามภพภูมิของตนเอง
อีก ๓ ปี ถัดมา พ่อวานรตัวนั้นพบว่าจำนวนลิงได้เพิ่มพูนมากขึ้นกว่า ๕๐๐ ตัว ผลไม้ในไพรพฤกษ์ได้ถูกกินจนหมดสิ้น แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ต่างยื้อแย่งอาหารจนเกิดความหิวโหยเป็นที่น่าสังเวช
ดังนั้น พ่อวานรจึงไปขอรับคำสอนจากพระมหาโพธิสัตตว์เจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานเมล็ดพืช ๕ ชนิด ได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่ว และ บักวีต (?) และทรงตรัสว่า ให้พวกวานรเหล่านั้นช่วยเหลือตนเอง
สืบต่อมา เหล่าวานรต่างๆ รู้จักการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยวและเกษตรกรรม เส้นขนและหางเริ่มหดสั้นและเล็กลง จนในที่สุดก็หดหายไป จนกระทั่งสามารถยืน
ได้ด้วย ๒ ขา เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ เกิดภาษาในการสื่อสารพูดคุย และในที่สุดวานรต่างๆ เหล่านี้ก็ได้กลายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และเป็นบรรพบุรุษของชาวทิเบตทั้งมวลนั่นเอง