ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ปาฏิหาริย์บนเขาแอนดิส28 คนรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกบนยอดเขา แต่พวกเขาต้องต่อสู้กับอุณภูมิติดลบ 30องศา

😈ปาฏิหาริย์บนเขาแอนดิส ◕‿
28 คนรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกบนยอดเขา แต่พวกเขาต้องต่อสู้กับอุณภูมิติดลบ 30 องศาและขาดแคลนอาหารนาน 72 วันจนถึงกับต้องแล่เนื้อจากศพเพื่อนมาบริโภคประทังชีวิต
ค้นหา
Custom Search

วันพฤหัสฯที่ 12 ตุลาคม 1972 นักกีฬารักบี้ทีมโอลด์ คริสเตียนส์ (Old Christians)
ของมหาวิทยาลัยสเตลลา มาริส (Stella Maris) ประเทศอุรุกวัย พร้อมกับญาติพี่น้องขึ้นเครื่องบินแฟร์ไชล์ด 227 (Fairchild 227) ของกองทัพอากาศอุรุกวัย เพื่อเดินทางไปแข่งขันกีฬากับทีมชิลีในเมืองซานติเอโก นักกีฬาทีมโอลด์ คริสเตียนส์เช่าเหมาลำเครื่องบินด้วยราคา 1,600 ดอลลาร์ ในขณะที่เครื่องแฟร์ไชล์ด 227 รองรับผู้โดยสารได้ 40 ที่นั่ง ดังนั้น ถ้านักกีฬาสามารถชักชวนญาติพี่น้องไปด้วยได้จนเต็มลำ พวกเขาจะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 40 ดอลลาร์ต่อหัวเท่านั้น เนื่องจากสภาพอากาศในวันนั้นไม่โปร่งใส นักบินจึงตัดสินใจแวะลงจอดระหว่างทางที่เมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา ให้ผู้โดยสาร 40 คนและลูกเรือ 5 คนพักแรม 1 คืน และเริ่มออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
👉เส้นทางระหว่างเมืองเมนโดซากับเมืองซานติเอโกมีเทือกเขาแอนดิส (Andes) ขวางกั้น แต่เครื่องบินแฟร์ไชล์ด 227 เป็นเครื่องบินเล็กขนาด 2 เครื่องยนต์ มีเพดานบินเพียงแค่ 29,500 ฟุตเท่านั้น จึงไม่สามารถบินข้ามเทือกเขาแอนดิสได้ นักบินตัดสินใจบินอ้อมลงทางใต้ของเทือกเขาจนถึงจุดที่มีช่องว่างระหว่าง เทือกเขาแล้วจึงหักหัวเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกจนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของเทือก เขา จากนั้นจึงบินขึ้นทิศเหนือไปยังเมืองซานติเอโก

✈การบินด้วยเครื่องบินเล็กออกนอกเส้นทางในขณะที่สภาพอากาศมีเมฆมาก นักบินจะกำหนดเส้นทางโดยการคำนวณความเร็วและระยะทาง เมื่อถึงตำแหน่งที่กัปตันคิดว่าเป็นข้ามพ้นเทือกเขาแอนดิสแล้ว เขาได้วิทยุขออนุญาตลงจอดที่สนามบิน เมื่อได้รับการตอบรับให้นำเครื่องลงได้ นักบินก็ลดเพดานบิน
😠 คำนวณพลาด 
สภาพอากาศบริเวณช่องว่างระหว่างเทือกเขาในขณะนั้นมีเมฆมากและกระแสลมแรง จึงต้องใช้เวลาในการบินนานกว่าที่ควรจะเป็น แต่นักบินไม่ได้คำนวณทดแรงต้านของกระแสลมเอาไว้ ทำให้เขาหักเลี้ยวขึ้นทิศเหนือก่อนจะทันข้ามพ้นเทือกเขา ภายในห้องโดยสาร นักกีฬาบ้างก็ซ้อมโยน-รับลูกรักบี้ บ้างก็กำลังเล่นไพ่ มองไปนอกหน้าต่างก็เห็นแต่ก้อนเมฆหนาทึบโดยหารู้ไม่ว่ายอดเขาห่างจากเครื่อง บินไปไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังกึกก้อง แสงสว่างจากภายนอกสาดส่องมาในห้องผู้โดยสาร แรงกระเทือนมหาศาลเหวี่ยงผู้โดยสารกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ไม่นานหลังจากนั้นทุกอย่างเงียบสงัดและแสงสว่างก็ดับวูบลง
สองวันต่อมา เฟอร์นันโด พาร์ราโด (Ferando Parrado) ฟื้นจากการสลบ มีก้อนหิมะอยู่ในปากโดยพรรคพวกที่ฟื้นขึ้นมาก่อนนำมาใส่ไว้เพื่อให้เขาได้ รับน้ำ เฟอร์นันโดกะโหลกศีรษะร้าวแต่เขาก็ยังรอดมาได้ น้องสาวเขาอาการสาหัสขั้นโคม่า ส่วนแม่ของเขาเสียชีวิตทันที ผู้โดยสารและลูกเรือ 45 คนเหลือรอดชีวิตเพียง 28 คน เสียชีวิต 12 คน และสูญหาย 5 คน นักบินบาดเจ็บสาหัสและยังติดอยู่ในห้องนักบิน เขาขอร้องให้ผู้รอดชีวิตหยิบปืนพกในกระเป๋าเดินทางออกมาสังหารเขาให้พ้น ทุกข์ แต่ไม่มีใครกล้าทำ ในขณะที่ผู้รอดชีวิตคนอื่นๆกำลังเผชิญกับสภาพอากาศอุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส บนความสูง 12,000 ฟุต ซึ่งแต่ละคนอยู่ในเสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อน โดยไม่มีทั้งน้ำและอาหาร
😬การค้นหาคว้าน้ำเหลว
ผู้รอดชีวิตช่วยกันนำร่างผู้เสียชีวิตฝังลงใต้หิมะ มาร์เซโล เปเรซ (Marcelo Perez) ออกค้นหาเสบียงอาหารและนำมาปันส่วนให้เพียงพอกับทุกคนให้นานที่สุด แต่มันก็มีอยู่ไม่มากนัก วันที่ 15 ตุลาคม เสียงเครื่องบินดังขึ้นบนท้องฟ้า เครื่องบินกู้ภัยบินวนอยู่ 3 เที่ยวแต่มันยังห่างจากจุดเครื่องบินตก แต่ไม่นานนักเครื่องบินก็บินวนกลับเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่นักบินก็ยังไม่เห็นจุดเครื่องบินตกอยู่ดี เนื่องจากเครื่องบินแฟร์ไชล์ด 227 มีสีขาวกลืนกับพื้นหิมะ และในค่ำวันนั้นเอง มาร์เซโลพบว่ามีคนมาแอบกินอาหารปันส่วนบางส่วนไป
การค้นหาจากหน่วยงานของ 3 ประเทศคือ อุรุกวัย อาร์เจนตินา และชิลี ดำเนินอยู่นาน 8 วัน โดยไม่พบวี่แววผู้เคราะห์ร้าย พวกเขาจึงยกเลิกการค้นหา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้รอดชีวิตพบเครื่องรับวิทยุในลำตัวเครื่องบินและ ทราบข่าวการค้นหาถูกยกเลิก บัดนี้ผู้รอดชีวิตถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังบนบอดเขา ในขณะที่เสบียงอาหารถูกใช้ไปจนหมด

😱คนกินเนื้อคน
ผู้รอดชีวิตประชุมกันว่าจะหาทางรอดจากหุบเขามรณะได้อย่างไรและจะหาอาหารจาก ที่ไหน พวกเขาอยู่บนยอดเขาที่หนาวเย็น อย่าว่าแต่สัตว์เลย แม้แต่ต้นไม้ก็ไม่มีสักต้น ในที่สุดก็มีคนเสนอให้แล่เนื้อจากศพมากินประทังชีวิต โรเบอร์โต คาเนสสา (Roberto Canessa) อาสาขุดศพขึ้นมาและแล่เนื้อจากศพมากินเป็นคนแรก ในขณะที่คนที่เหลือยังพะอืดพะอมและปฏิเสธที่จะกินเนื้อจากศพ
วันรุ่งขึ้น นูมา เทอร์คัตติ (Numa Turcatti) กุสตาโว เซอร์บิโน (Gustavo Zerbino) และเดเนียล มาสปอนส์ (Daniel Maspons) ออกเดินทางขึ้นยอดเขาเพื่อตรวจดูว่าพวกเขาอยู่ที่ตำแหน่งไหนของเทือกเขาแอ นดิส มีอะไรอยู่อีกฝั่งหนึ่งของยอดเขาที่พอจะขอความช่วยเหลือได้หรือไม่ และมีรอยเส้นทางไปยังหมู่บ้านหรือไม่ โดยพวกเขาเดินตามรอยเครื่องบินที่ครูดกับพื้นหิมะตอนตก ระหว่างเดินทางพวกเขาพบปีกเครื่องบินที่ถูกฉีกออกตอนที่เครื่องบินกระทบพื้น และพบศพของผู้ที่หายไปทั้ง 5 คน แต่ไม่พบร่องรอยเส้นทางหรือวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย พวกเขาจึงพักค้างคืนบนยอดเขาและเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นเพื่อพบว่าผู้บาด เจ็บอีก 9 คนได้เสียชีวิตลง ทำให้จำนวนผู้รอดชีวิตลดลงเหลือแค่ 19 คน

การเดินสำรวจเส้นทางในหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและปราศจากเครื่องนุ่งห่ม ที่เหมาะสม อีกทั้งยังไม่มีเสบียงเป็นการล่อแหลมต่อการเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ ซึ่งยังไม่นับการเสี่ยงต่อโรคแพ้ที่สูง Altitude Sickness โรคขาดน้ำ และการแพ้แสงสะท้อนหิมะ (Snow Blindness) ผู้รอดชีวิตจึงไม่สามารถสำรวจเส้นทางได้นานเกินกว่า 2 วันก็จะต้องรีบกลับมายังที่พัก เมื่อถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน อาร์ตูโร โนกุยร่า (Arturo Nogueira) เสียชีวิตจากการติดเชื้อ ทำให้ผู้รอดชีวิตเหลือเพียง 18 คน

😓ต่อชีวิต
วันที่ 17 พฤศจิกายน กลุ่มอาสาสมัคร 3 คนออกสำรวจเส้นทางมุ่งหน้าไปทางประเทศชิลีที่อยู่ทางตะวันตก ระหว่างทางพวกเขาพบส่วนท้ายของเครื่องบินและมีกระเป๋าเดินทางเกลื่อน กลาดรอบๆบริเวณ ภายในกระเป๋ามีอาหาร เสื้อผ้า และแบตเตอรี่ใช้กับเครื่องรับ-ส่งวิทยุ แต่เนื่องจากแบตเตอรี่มีน้ำหนักมาก พวกเขาจึงตัดสินใจกลับไปนำเครื่องรับ-ส่งวิทยุมาต่อกับแบตเตอรี่ แทนที่จะแบกแบตเตอรี่กลับไปค่าย
วันที่ 18 พฤศจิกายน ผู้บาดเจ็บอีกคนเสียชีวิต วันที่ 26 พฤศจิกายน เฟอร์นันโด โรเบอร์โต และอันโตนิโอ ไวซินติน (Antonio Vizintin) ออกเดินทางนำเครื่องรับ-ส่งวิทยุมาต่อเข้ากับแบตเตอรี่ โดยหารู้ไม่ว่าเครื่องรับ-ส่งวิทยุของเครื่องบินใช้ไฟกระแสสลับ ในขณะที่แบตเตอรี่ให้ไฟกระแสตรง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถทำให้วิทยุรับ-ส่งทำงานได้ ในขณะเดียวกันทางด้านค่ายพักมีผู้เสียชีวิตอีก 1 คน
วันที่ 11 ธันวาคม ปันโช เดลกาโด (Pancho Delgado) เสียชีวิตตามไปอีกคน ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าหนทางเดียวที่จะรอดชีวิตได้ก็คือต้องเสี่ยงส่งคนไปขอ ความช่วยเหลือจากหมู่บ้านเชิงเขา หรือไม่ก็นอนรอความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้าไปทุกที

ศพที่มีอยู่ถูกแล่เนื้อออกมาบริโภคจนหมด เสบียงร่อยหรอลงอีกครั้ง อาสาสมัครส่วนหนึ่งถูกส่งออกไปค้นหาศพที่เหลือที่กลุ่มสำรวจเคยพบในวันแรก ของการสำรวจเพื่อนำเนื้อมาบริโภค และอาสาสมัครอีกกลุ่มออกเดินทางค้นหาความช่วยเหลือ

😅รอดตาย
เฟอร์นันโดและโรเบอร์โตใช้เวลาหลายวันปีนป่ายไปตามเทือกเขา ส่องหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตจนกระทั่งเขามองเห็นลายเส้นเล็ก ๆ อยู่ไกลลิบๆ เหมือนกับเป็นเส้นทางสัญจร พวกเขาจึงไต่ลงจากเขามุ่งหน้าตรงไปทางนั้นทันที

วันที่ 18 ธันวาคม เฟอร์นันโดและโรเบอร์โตพบลำธาร พวกเขาจึงเดินทางเลียบลำธารไปเรื่อยๆจนกระทั่งสุดเขตที่มีหิมะปกคลุมและ เริ่มมีพืชพันธุ์ขึ้นอยู่ตามริมทาง เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆพวกเขาก็เริ่มเห็นสัตว์ วันต่อมาพวกเขาเจอฝูงวัว ทำให้เกิดกำลังมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขาเข้าใกล้หมู่บ้านเข้ามาทุกทีแล้ว

วันที่ 20 ธันวาคม เฟอร์นันโดพบว่าเส้นทางที่เขาใช้นั้นถูกขวางด้วยลำธารอีกสายหนึ่งที่มาตัด กับลำธารที่เขาเดินทางเลียบมา ระหว่างหยุดพัก พลันโรเบอร์โตหันไปเห็นชาย 3 คนขี่ม้าอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของลำธาร เฟอร์นันโดและโรเบอร์โตจึงรีบวิ่งไปยังริมตลิ่ง กระโดดโลดเต้นตะโกนขอความช่วยเหลือ คนท้องถิ่นตะโกนตอบกลับมา แต่เสียงดังจากกระแสน้ำกลบเสียงของพวกเขาทั้งหมด เฟอร์นันโดจับความได้เพียงว่า "พรุ่งนี้" แล้วคนท้องถิ่นก็ขี่ม้าจากไป

วันรุ่งขึ้น ชาย 3 คนกลับมาตามสัญญา พวกเขาเขียนจดหมายห่อก้อนหินเขวี้ยงมาให้กับเฟอร์นันโด มันมีใจความว่า "ผมตามคนมาช่วย พวกเขาจะเดินทางมาถึงเร็ว ๆ นี้" เฟอร์นันโดจึงเขียนจดหมายตอบกลับไปว่า "ผมมาจากเครื่องบินที่ตกบนเทือกเขา ผมเป็นชาวอุรุกวัย เดินทางหาความช่วยเหลือมา 10 วันแล้ว เพื่อนผมได้รับบาดเจ็บ และยังมีอีก 14 คนติดอยู่บนเขา เราจำเป็นต้องออกมาหาความช่วยเหลือโดยด่วนและเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เราไม่มีอาหาร เราอ่อนเพลีย คุณจะช่วยเราได้เมื่อไร เราเดินทางไม่ไหว เราอยู่ที่ไหน SOS" หลังได้รับข้อความ คนท้องถิ่นแสดงทีท่าว่าเข้าใจความหมายด้วยการขว้างขนมปังมาให้เฟอร์นันโด ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายทั้ง 3 คนก็เดินทางมาช่วยเฟอร์นันโดและโรเบอร์โตที่อีกฝั่งหนึ่งของลำธาร
วันที่ 22 ธันวาคม รัฐบาลชิลีนำเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำไปช่วยผู้รอดชีวิตบนเทือกเขา แต่เนื่องจากสภาพอากาศยังคงเลวร้ายอยู่ทำให้การกู้ภัยรอบแรกสามารถช่วยเหลือ ได้เพียง 6 คน และอีก 8 คนที่เหลือได้รับความช่วยเหลือในวันรุ่งขึ้น
ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนรอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกบนเทือกเขาแอนดิส ได้นานถึง 72 วัน พวกเขาไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีเครื่องนุ่งห่มสำหรับอากาศหนาวท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส นอกเสียจากมันจะเป็น "ปาฏิหาริย์"..

รายการบล็อกของฉัน