ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

องครักษ์เสื้อแพร หน่วยสืบราชการลับสุดเหี้ยมของจีนยุคโบราณ

องครักษ์เสื้อแพร หน่วยสืบราชการลับสุดเหี้ยมของจีนยุคโบราณ
ในยุคปัจจุบันประเทศต่าง ๆ นั้นต่างพากันตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบหน่วยงานรัฐด้วยกันหรือปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านข่าวกรอง ที่มีอิสระไม่สังกัดกับกระทรวงไหนแต่จะขึ้นตรงต่อผู้นำประเทศโดยตรง เช่น CIA ของสหรัฐอเมริกา หรือ KGB ของรัสเซีย หรือถ้าจะย้อนกลับไปอีกหน่อยก็ได้แก่หน่วย SS ซึ่งการปฏิบัติงานของหน่วยเหล่านี้ล้วนเป็นอิสระต่อหน่วยงานอื่น ผู้ที่มีอำนาจในการสั่งการได้ก็มีแต่เพียงผู้นำประเทศเท่านั้น

แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีต ตั้งแต่ปี ค.ศ.1382 โลกก็มีหน่วยงานที่มีลักษณะคล้ายกับหน่วยงานที่กล่าวมาแล้วเช่นกัน เราจะพาไปทำความรู้จักกับหน่วยสืบราชการลับแห่งประเทศจีนที่เป็นหน่วยที่ได้ชื่อว่า “โหดร้าย” ทารุณที่สุดหน่วยหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน
ปี ค.ศ.1382 ในรัชสมัยจักรพรรดิหมิงจู่แห่งราชวงศ์หมิง พระองค์ได้ทรงจัดตั้งหน่วย “องครักษ์เสื้อแพร” ขึ้นมา ซึ่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี้อดีตเป็นกองทหารกองหนึ่งจาก 26 กองที่รับใช้ฮ่องเต้อย่างใกล้ชิด โดยให้ทำหน้าที่เป็นกองอารักขาเวลาฮ่องเต้เสด็จพระราชดำเนินไปที่ต่าง ๆ

องครักษ์เสื้อแพรนั้นมีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่เครื่องแบบของทหารทุกนายในกองนั้นจะตัดมาจากผ้าแพรดูสวยงาม และอาวุธก็จะพกดาบซิ่วชุนเพื่อใช้ปกป้องฮ่องเต้ในยามคับขันและกระบองหลวงที่สำหรับใช้ฟาดใครก็ตามที่ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยได้ทันที ซึ่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนั้นจะรับคำสั่งจากฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรจะมีระบบบังคับบัญชาคล้าย ๆ กับหน่วยงานราชการในปัจจุบัน โดยจะมีผู้บัญชาการที่เป็นผู้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้และนำมามอบหมายงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ใครจะเข้ามาสังกัดในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนั้นจำเป็นที่จะต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวดสุดๆ หลายขั้นตอน เนื่องจากต้องเป็นผู้ที่รับใช้ฮ่องเต้โดยตรง ผู้ที่จะเข้ามาได้นั้นจึงต้องมีความสามารถเหนือคนทั่วไปและที่สำคัญจะต้องไม่เคยต้องโทษใดๆ มาก่อน

ด้วยความที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรนั้นอยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้จึงทำให้มักจะถูกไหว้วานให้ไปทำหน้าที่ที่ไม่ใช่การอารักขาอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการหาข่าวสอดแนมผู้ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของราชสำนัก ซึ่งภารกิจเหล่านี้ได้เบิกทางให้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรนั้นได้อำนาจที่ไม่ต้องผ่านหน่วยงานใด ไม่ว่าจะเป็นการจับกุม สอบสวนหรือกระทั่งการพิพากษาและการลงโทษ

จึงมีคำกล่าวในยุคนั้นว่า “หากใครตกเป็นเป้าหมายของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ก็เตรียมบอกลาคนที่รักได้เลย” เพราะการสอบสวนของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนั้นไม่ใช่การมานั่งซักถามให้ยอมรับผิด แต่เป็นการทรมานด้วยวิธีที่ทารุณจนกระทั่ง “เหยื่อ” ทนความเจ็บปวดไม่ไหวต้องคายความจริงหรือยอมรับความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อ และยังต้องไปเผชิญชะตากรรมด่านสุดท้ายด้วยโทษประหารที่เหี้ยมโหด
ความน่ากลัวของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนั้นแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดินจนขุนนางหรือแม้กระทั่งชาวบ้านถึงกับเกรงกลัว ด้วยเหตุนี้ในปี ค.ศ. 1393 ฮ่องเต้หงอู่จึงเริ่มคิดว่าหากปล่อยไปสักวันหนึ่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็อาจจะมีอำนาจจนฮ่องเต้คุมไม่อยู่ จึงมีพระบรมราชโองการให้ยุบหน่วยงานนี้ลงอีกทั้งยังสั่งให้นำเอาเครื่องแบบของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมาเผากลางที่สาธารณะเพื่อเป็นการยืนยันต่อขุนนางและประชาชนว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรได้ถูกยุบทิ้งแล้วจริง ๆ
แต่ในอีกไม่กี่ปีต่อมาเมื่อจักพรรดิหมิงเฉิงอู่ได้ขึ้นครองราชย์ก็มีการจัดตั้งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมาใหม่โดยให้ทำหน้าที่ในการสืบราชการลับ แต่ก็มิวายถูกใช้เป็นเครื่องมือของเหล่าขันทีที่กุมอำนาจในราชบังลังก์ใช้จัดการเสี้ยนหนามของตนจนกระทั่งราชวงศ์หมิงล่มสลายและหลังจากที่ราชวงศ์ชิงได้ทำการสถาปนาก็ได้มีคำสั่งให้ยุบหน่วยองครักษ์เสื้อแพรทิ้ง...

รายการบล็อกของฉัน