ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติบาฮาดูร ชาห์ ที่ 2 กษัตริย์โมกุลพระองค์สุดท้าย


ประวัติบาฮาดูร ชาห์ ที่ 2 กษัตริย์โมกุลพระองค์สุดท้าย

บาฮาดูร์ ชาห์ ที่ 2 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 17 ของจักรวรรดิโมกุล และเป็นพระองค์สุดท้ายด้วย เพราะหลังจากนั้น จักรวรรดิโมกุลก็ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของบริติชราช (ประเทศอินเดีย,บังคลาเทศ,ปากีสถาน และ พม่า ในปัจจุบัน)
บาฮาดูร์ ชาห์ ที่ 2 ทรงพระราชสมภพเมื่อ 24 ตุลาคม 1775 เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอัคบาร์ ชาห์ที่ 2 กับ ลาล ไบ ทรงพระนามเดิมว่า ซาฟาร์
ยุคของ อัคบาร์ที่ 2 พระราชบิดา ทรงปกครองจักรวรรดิได้ค่อนข้างไม่ดีจนเสื่อมอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลานั้น บริษัทอินเดียตะวันออกได้สร้างข้อมูลเท็จๆให้พระองค์และสั่งลบพระนามของพระองค์ลงบนเหรียญเงินที่ลงพระนามพระองค์ไว้ในพื้นที่ที่พวกเขาปกครอง

เจ้าฟ้าชายซาฟาร์ไม่ได้ทรงเป็นทางเลือกที่ดีในการเป็นรัชทายาทเลยสำหรับพระราชบิดา เพราะพระองค์ทรงถูกพระนางมุมตัส เพคุม กดดันพระองค์ให้เลือกพระราชโอรสของพระนาง มิรซา ชาฮากีร์ เป็นรัชทายาท แต่เจ้าฟ้าชายมิรซาทรงถูกอังกฤษเนรเทศออกไป หลังพระองค์ลอบโจมตีบ้านพักของ แอเชอร์เบลด์ เซตัน ที่ป้อมแดง
หลังจากนั้นเอง เจ้าฟ้าชายซาฟาร์ก็ทรงขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุล โดยยุคนั้นมีบริษัทอินเดียตะวันออก คุมการทหารและการเมืองในพระราชอาณาจักรในกลางยุคศตวรรษที่ 19 ในยุคนั้น อาณาจักรใต้การควบคุมของอังกฤษ ต้องเสียดินแดนให้กับอังกฤษ บางอาณาจักรได้รับเงินจากอังกฤษ บางอาณาจักรต้องจ่ายส่วยให้อังกฤษ

ด้านศาสนา ทรงนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุฟี และทรงเคยพระนิพนธ์บทกวีเกี่ยวกับศาสนาไว้ด้วย ถึงกระนั้น ทรงรู้สึกเลื่อมใสแนวคิดของศาสนาฮินดู และให้ความเท่าเทียมมาก เช่น ทรงมักออกไปร่วมเทศกาลหรือจัดงานต่างๆในช่วงวันสำคัญทางศาสนาด้วย

นอกจากนี้ทรงได้สร้าง ซาฟาร์ มาฮาล เพื่อเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ด้วย สถานที่นี้สร้างมาแต่ยุคพระราชบิดาของพระองค์ แต่สร้างเสร็จในยุคของพระองค์ สถานที่เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระองค์เมื่อพระองค์ต้องการแปรพระราชฐาน สถานที่แห่งนี้มีความเป็นยุคใหม่ที่ผสานความเป็นตะวันตกอยู่พอสมควรด้วย

ชาวอังกฤษให้การยอมรับพระองค์จนกระทั่ง วันที่ 12 พฤษภาคม ทรงประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบหลายปี โดยมีทหารซีปอยเข้าร่วมด้วย 4 วันต่อมา วันที่ 16 พฤษภาคม 1857 ทหารซีปอยได้สังหารชาวยุโรป 52 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน รวมถึงผู้ที่ซ่อนตัวในเมืองและถูกจับได้ด้วย

การประหารครั้งนี้แม้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ แต่การประหารชาวยุโรปนั้นทำให้ยากที่พระองค์จะอธิบายให้อังกฤษได้ พระองค์ให้มีร์ซา โมกุล พระราชโอรสองค์โต เป็นผู้บัญชาการทหาร แต่เนื่องจากพระองค์มีประสบการณ์ที่อ่อนด้อย และไม่ค่อยได้รับความเคารพจากทหาร ทำให้การบัญชาการเป็นไปด้วยความยากลำบาก

20 กันยายน วิลเลี่ยม ฮอดสัน ได้บัญชาการทัพอังกฤษและคุมตัวพระองค์กับพระราชโอรสและพระราชนัดดาได้ที่สุสานจักรพรรดิหุมายุน วันต่อมา ฮอดสันสั่งปลงพระชนม์ พระราชโอรส 2 พระองค์ คือ มีร์ซา โมกุล และ มีร์ซา กีร์ สุลต่าน และ พระราชนัดดา มีร์ซา อาบู บาห์ ณ ป้อมคุรณี ดาร์วาซา ใกล้กับประตูเดลี

พระราชวงศ์ที่เป็นชายเกือบทั้งหมดถูกปลงพระชนม์โดยทหารอังกฤษ และเนรเทศพระราชวงศ์ที่เหลือ (ซึ่งเป็นพระราชวงศ์หญิง) 
ส่วนบาฮาดูร์ ชาห์ ถูกศาลอังกฤษตัดสินพระองค์ว่ามีความผิดฐานสนับสนุนกบฏและฆาตกรรมชาวอังกฤษ 49 คน  พระองค์กับซีฟา มาฮาล 
ถูกเนรเทศไปยังย่างกุ้ง ประเทศพม่า พร้อมกับพระราชวงศ์บางพระองค์ ถือเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโมกุลที่ปกครองประเทศอินเดียนานนับ3 ศตวรรษ

ทรัพย์สมบัติจำนวนมากในพระราชวังและป้อมแดงถูกทหารอังกฤษขโมยไป และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินพระราชวงศ์อังกฤษ

พระองค์ทรงสวรรคตในตีห้า วันที่ 7 พฤศจิกายน 1862 สิริพระชนมายุ 87 พรรษา ที่ย่างกุ้ง ประเทศพม่า พระองค์ทรงถูกฝังใกล้กับบริเวณพระเจดีย์ชเวดากองและพระโกศของพระนางศุภยาลัต ต่อมาพระมเหสีและพระราชธิดา พระราชนัดดาก็ถูกฝังใกล้เคียงพระศพพระองค์
ประวัติศาสตร์อินเดียกันนักเลย    
คนไทยเราแทบไม่เคยได้ยินชื่อของจักรวรรดิ Maratha เลย    ทั้งๆที่น่าจะเป็นจักรวรรดิสุดท้ายของอินเดียก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคม   และแทบจะล้มล้างจักรวรรดิโมกุลได้   แต่พอดีอังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคมก่อน    และอังกฤษก็ต้องรบกับจักรวรรดิ Maratha หลายรอบจนพิชิตได้     

ในความรู้ของคนไทยจะเป็นไปทำนองว่า     
พวกโมกุลบุกมาตีอินเดีย    ยึดอินเดียได้เกือบหมด   แล้วก็ปกครองสืบต่อกันมาจนเสียเมืองให้แก่อังกฤษ     ไม่มีจักรวรรดิ Maratha ในหัวเลย
แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยพูดถึงอินเดียในแบบหลวมๆ ไล่ตั้งแต่ยุคพุทธกาล ยุคโมริยะ ยุคอิสลามบุก และยุคตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ รายละเอียดในช่วงยุคนั้นๆ แทบไม่พูดถึงเลย

บทความขาดรายละเอียดสำคัญหลายอย่างนะครับ เช่นการที่ทหารซีปอยสังหารชาวอังกฤษนั้นเกิดขึ้นระหว่างการกบฎในปี 1857 การกบฎนี้บาฮาดูร์ชาห์ไม่เกี่ยวนะครับ เป็นความไม่พอใจของทหารซีปอยต่อต้นสังกัดคือบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษ พอเริ่มกบฎปุ๊ปก็เลยขยายเป้าหมายเป็นการประกาศอิสรภาพ และจะให้บาฮาดูร์ชาห์เป็นผู้นำ

แต่บาฮาดูร์คุมทหารซีปอยไม่ได้ ซีปอยก็ทั้งฆ่าข่มขืนชาวยุโรปทั้งพลเมืองและทหารที่ยอมแพ้แล้ว ทางบริษัทอังกฤษรู้ข่าวเข้าก็โกรธแค้นมากจัดตั้งกองทัพบริษัทเพื่อ"ตามสนองกรรม"ของทหารกบฎ นำทหารซีปอยที่ยังภักดีรวมถึงทหารอังกฤษเข้าตีกบฎ พวกกบฎสู้ไม่ได้ ทหารที่จับบาฮาดูร์ชาห์ได้นั้นเป็นทหารในบริษัทอีสต์อินเดียนะครับ และที่สังหารครอบครัวก็เป็นทหารของอีสต์อินเดียเหมือนกัน ที่เนรเทศก็เป็นคำสั่งของบริษัทเช่นกัน ตอนนั้นพม่าเป็นของบริษัทไปแล้ว
พอคนในประเทศอังกฤษรู้เรื่องการ
"ล้างแค้น"ของกองทัพบริษัทเข้าก็มีความคิดหลากหลายครับ บางคนก็ว่าสมควรแล้วเพราะพวกกบฎสังหารโหดคนบริสุทธิ์ก่อน 

แต่บางกลุ่มก็คิดว่าทำเกินไป โดยเฉพาะเรื่องการสังหารราชวงศ์ สุดท้ายหลังจากประเมินในหลายๆ ด้านแล้ว ทางอังกฤษสั่งยุบบริษัทอีสต์อินเดียนะครับ เพราะเห็นว่าทำการอุกอาจหลายอย่างโดยไม่ปรึกษาประเทศแม่ หลังจากนี้อังกฤษจะตั้งบริติชราชขึ้นมาเพื่อเข้าควบคุมอินเดียโดยตรงแทน

จักรพรรดิโมกุลเสมือนหุ่นเชิดของเหล่ามหาราชาแคว้นต่างๆครับ กล่าวคือจักรพรรดิโมกุลไม่ได้มีอำนาจปกครองทั้งจักรวรรดิอีกต่อไปแล้ว แต่ในดินแดนต่างๆนั้นอำนาจปกครองอยู่ในมือของมหาราชา หรือขุนศึกท้องที่ ซึ่งอาศัยชื่อของจักรพรรดิโมกุลปกครองท้องที่ตัวเองและขยายอำนาจกันตามอำเภอใจครับ

คล้ายๆกับญี่ปุ่นในยุคเซนโกคุ หรือจีนในยุคชุนชิว ที่จักรพรรดิดำรงอยู่ แต่เป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจที่ใครเข้มแข็งหรือมีใจทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ก็เอาไปอ้างเพื่อใช้ประกอบความชอบธรรมในการก่อการของตนเองได้

รายการบล็อกของฉัน