เครื่องบินตกบนยอดเขาแอนดีส เพื่อความอยู่รอด จำใจต้องกินศพผู้ที่ตายประทังชีวิต

เมื่อเครื่องบินตกบนยอดเขาแอนดีส!? เพื่อความอยู่รอด จำใจต้องกินศพผู้ที่ตายประทังชีวิต!

นี่คือเรื่องราวการผจญภัยที่ลืมไม่ลงของเหล่านักรักบี้ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก และประสบการณ์ที่พวกเขาต้องจดจำไปชั่วชีวิต โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 1972 เมื่อเที่ยวบินที่ 571แฟร์ไชลด์ FH-227D ของกองทัพอากาศอุรุกวัย หรือรู้จักกันในชื่อของ ‘มิราเคิล’

เป็นเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่มีผู้โดยสาร 45 คนรวมไปถึงสมาชิกทีมรักบี้ของมหาวิทยาลัย Stella Maris เดินทางจากอุรุกวัยไปชิลี

ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเทือกเขาแอนดีส เครื่องบินเกิดเสียการทรงตัวเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนจนเครื่องบินตกลงไปในเทือกเขาแอนดิสที่หนาวเย็นและถูกปกคลุมด้วยหิมะ

มีผู้โดยสารเสียชีวิตทันที 12 คน จากทั้งหมด 45 คน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 5 คนในวันถัดมา ผู้รอดชีวิตต้องนำศพของผู้เสียชีวิตไปฝังไว้ด้านนอกเครื่องบินโดยขุดหลุมและใช้หิมะกลบ หลายวันผ่านไป

เหลือผู้รอดชีวิตเพียง 27 คน
ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากแสนสาหัสเพื่อเอาตัวรอดในสภาพภูมิประเทศที่เลวร้าย โดยพวกเขาติดอยู่ที่ความสูงเหนือพื้นดิน 11,800 ฟุต ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บติดลบและเสบียงอาหารที่ร่อยหรอเต็มที

เพื่อความอยู่รอด ผู้รอดชีวิตรายหนึ่งเสนอให้กินศพประทังชีวิต มีหลายคนทำตามเพราะไม่มีทางเลือก พวกเขานำ
เนื้อศพมาปรุงอาหาร เช่นย่าง หรือกินดิบ ๆ ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่ยอมกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันก็ค่อย ๆ อดตายทีละคน เมื่อพวกเขาเริ่มมีพละกำลังจึงเริ่มออกเดินทางเพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวพื้นเมือง

ในวันที่ 21 ธันวาคม 1972 มีชาวบ้านมาพบพวกเขาโดยบังเอิญขณะกำลังหาเสบียง จนนำมาสู่การช่วยเหลือในเวลาต่อมา ทีมกู้ภัยได้เข้าไปช่วยเหลือในช่วงคริสต์มาสปีเดียวกัน 

โดยมีผู้รอดชีวิตเหลือเพียง 16 คนจากทั้งหมด 45 คน และถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที 72 วันนับตั้งแต่เครื่องบินตก ผู้รอดชีวิตที่เหลือได้สารภาพว่าพวกเขากินศพผู้โดยสารที่เสียชีวิตเพื่อ

ความอยู่รอด

อาจกล่าวได้ว่านี่คือปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับชื่อเล่นของเครื่องบินที่ผู้รอดชีวิตโดยสารมา ทั้งหมดได้สารภาพบาปกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปกับแพทย์ บาทหลวงและตำรวจ และยังคงจดจำเรื่องราวในวันนั้นตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต