ทางด้าน รศ.ดร.อมร ได้เปรียบเทียบว่า กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวเหมือนกรุงเม็กซิโกซิตี ของเม็กซิโก เนื่องจากมี 3 ปัจจัยคล้ายกัน คือ 1.ไม่มีรอยเลื่อนอยู่ใต้เมือง 2.ตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อน และ 3.อาคารไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับแผ่นดินไหว ซึ่งเมื่อปี 2528 เกิดแผ่นดินไหว 8.5 ริกเตอร์ ห่างจากกรุงเม็กซิโกซิตี ออกไป 350 กิโลเมตร ส่งผลให้อาคารต่างๆ ถล่มลงมา มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 10,000 คนนักวิชาการ ระบุ กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงเหมือน “เม็กซิโกซิตี” ที่ราบคาบจากแผ่นดินไหว เมื่อ 27 ปีก่อน ทั้งๆ ที่จุดศูนย์กลางอยู่ไกลกว่า 350 กิโลเมตร เหตุเพราะอยู่บนพื้นที่ดินอ่อนเช่นเดียวกัน และไม่ได้ออกแบบอาคารรองรับแผ่นดินไหว แจงมี 3 รอยเลื่อนที่กำหนดความเสี่ยงเมืองกรุง คือ รอยเลื่อนในเมืองกาญจน์ พม่า และแนวมุดตัวทางฝั่งอันดามัน ชี้ ควรสร้างอาคารที่รองรับการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว
รศ.ดร.อมร พิมานมาศ จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมโครงสร้างและสะพาน สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2554 มีความตื่นตัวในเรื่องแผ่นดินไหวกันมากขึ้น ซึ่งจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงทั้งในนิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จนถึงแผ่นดินไหวล่าสุดที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 เม.ย.55 นั้น อาคารสูงหลายแห่งในกรุงเทพฯ มีการสั่นไหวอย่างรุนแรง
เหตุที่อาคารสูงในกรุงเทพฯ สั่นไหวอย่างรุนแรง เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นที่ดินอ่อน หรือดินเลน เมื่อถูกกระตุ้น จึงขยายการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้ถึง 3 เท่า แม้เหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 26 ธ.ค.47 ที่เกาะสุมาตรา มีจุดศูนย์กลางอยู่ไกล 1,200 กิโลเมตร หรือแผ่นดินไหวในจีนที่อยู่ไกลออกไปถึง 2,600 กิโลเมตร ก็พบว่า มีการเขย่าของตึกสูงในกรุงเทพฯ แต่ รศ.ดร.อมร กล่าวว่า แม้อาคารสูงจะสั่นอย่างรุนแรง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องถล่มเสมอไป ส่วนหนึ่งเพราะอาคารสูงมักได้รับการออกแบบให้รองรับแรงลมระดับหนึ่งอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ตึกสูงในกรุงเทพฯ ยังคงมีความเสี่ยงจากเหตุแผ่นดินไหวอยู่ดี โดย รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย จากคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า คลื่นสั่นสะเทือนจากพื้นดินมีความรุนแรงมากกว่าแรงลมอยู่มาก และแม้กรุงเทพฯ ไม่ได้ตั้งอยู่ในแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว แต่สภาพดินก็ขยายความรุนแรงได้ถึง 3 เท่า โดยเฉพาะความถี่ต่ำๆ จากแผ่นดินไหวจะถูกขยายความรุนแรงโดยอาคารสูงที่มีการโยกอย่างช้าๆ หรือมีความถี่ธรรมชาติที่ตรงกับคลื่นแผ่นดินไหว จึงเกิดการสั่นพ้อง หรือการกำทอนขึ้น
รศ.ดร.อมร พิมานมาศ จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมโครงสร้างและสะพาน สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2554 มีความตื่นตัวในเรื่องแผ่นดินไหวกันมากขึ้น ซึ่งจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงทั้งในนิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จนถึงแผ่นดินไหวล่าสุดที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 เม.ย.55 นั้น อาคารสูงหลายแห่งในกรุงเทพฯ มีการสั่นไหวอย่างรุนแรง
เหตุที่อาคารสูงในกรุงเทพฯ สั่นไหวอย่างรุนแรง เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นที่ดินอ่อน หรือดินเลน เมื่อถูกกระตุ้น จึงขยายการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้ถึง 3 เท่า แม้เหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 26 ธ.ค.47 ที่เกาะสุมาตรา มีจุดศูนย์กลางอยู่ไกล 1,200 กิโลเมตร หรือแผ่นดินไหวในจีนที่อยู่ไกลออกไปถึง 2,600 กิโลเมตร ก็พบว่า มีการเขย่าของตึกสูงในกรุงเทพฯ แต่ รศ.ดร.อมร กล่าวว่า แม้อาคารสูงจะสั่นอย่างรุนแรง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องถล่มเสมอไป ส่วนหนึ่งเพราะอาคารสูงมักได้รับการออกแบบให้รองรับแรงลมระดับหนึ่งอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ตึกสูงในกรุงเทพฯ ยังคงมีความเสี่ยงจากเหตุแผ่นดินไหวอยู่ดี โดย รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย จากคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) กล่าวว่า คลื่นสั่นสะเทือนจากพื้นดินมีความรุนแรงมากกว่าแรงลมอยู่มาก และแม้กรุงเทพฯ ไม่ได้ตั้งอยู่ในแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว แต่สภาพดินก็ขยายความรุนแรงได้ถึง 3 เท่า โดยเฉพาะความถี่ต่ำๆ จากแผ่นดินไหวจะถูกขยายความรุนแรงโดยอาคารสูงที่มีการโยกอย่างช้าๆ หรือมีความถี่ธรรมชาติที่ตรงกับคลื่นแผ่นดินไหว จึงเกิดการสั่นพ้อง หรือการกำทอนขึ้น
สำหรับเมืองไทยนั้น รศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวว่า มี 3 ปัจจัยที่กำหนดความเสี่ยงให้กรุงเทพฯ คือ รอยเลื่อนใน จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 200 กิโลเมตร มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 ริกเตอร์ รอยเลื่อนสะแกง หรือรอยเลื่อนสกายตามภาษาถิ่นในพม่าที่อยู่ห่างออกไป 400 กิโลเมตร มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8 ริกเตอร์ และแนวมุดตัวบริเวณเกาะนิโคบาร์ทางฝั่งอันดามัน (แนวเดียวกับที่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี 2547) ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 600 กิโลเมตร มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวถึง 8.5 ริกเตอร์
ทั้งนี้ รศ.ดร.อมร กล่าวว่า สำหรับกรุงเทพฯ นั้น ต้องใช้เม็กซิโกซิตีเป็นแบบจำลอง เพราะมีปัจจัยความเสี่ยงเหมือนกัน และแผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ที่เตือนไม่ได้ ดังนั้น เราจำเป็นต้องอยู่บนอาคารที่ปลอดภัย ซึ่งทางวิศวกรรมสถานฯ ได้ศึกษาข้อมูลจนนำไปสู่การออก “กฎกระทรวง” ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ในปี 2550 สำหรับบังคับใช้ในการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหวสำหรับพื้นที่เสี่ยง
กฎกระทรวงดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ 3 บริเวณ คือ บริเวณที่ 1 ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร บริเวณที่ 2 ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และ ลำพูน และบริเวณเฝ้าระวัง ได้แก่ กระบี่ ชุมพร พังงา ภูเก็ต ระนอง สงขลา และ สุราษฎร์ธานี หากแต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีความเสี่ยงและต้องปรับแก้กันต่อไป
สำหรับอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวนั้น รศ.ดร.อมร แนะนำให้เสริมความแข็งแรงด้วยแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ โดยใช้พันรอบเสาในในตำแหน่งที่จะเสียหายได้ง่าย เช่น โคนเสา เป็นต้น แต่วิธีนี้มีราคาประมาณ 200,000 บาท จึงมีอีกวิธีสำหรับอาคารที่ไม่สูงเกิน 6 ชั้น หรืออาคารตึกแถว ให้ใช้เหล็กปลอกพันรอบโคนเสาแล้วพันทับด้วยลวดกรงไก่จากนั้นฉาบปูนทับ ซึ่งจะได้เสาที่มีความแข็งแรงขึ้นในต้นทุนเสาละประมาณ 1,000 บาท