ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ขวานแบะอก โทษประหารสุดโหดของไทยสมัยก่อน

ขวานแบะอก โทษประหารสุดโหดของไทยสมัยก่อน ที่ “อ้ายอ่วม อกโรย” ได้รับ จากการทำชั่วชาติแบบนี้
ย้อนกลับไปในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ในยุคนั้นมักจะมีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านจนเป็นเหตุให้ทางการต้องจัดกำลังตามล่ากันอยู่เสมอ ด้วยความที่การเดินทางยังไม่สะดวกเหมือนในปัจจุบัน การจับโจรได้แต่ละครั้งเจ้าหน้าที่จึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปรามไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างและชำระโทษให้สาสมกับความผิด เช่นในกรณีของอ้ายอ่วม อกโรย หัวหน้าโจรที่ถูกประหารด้วยวิธีการที่ “สยอง” แบบสุดๆ
ชื่อของ “อ่วม อกโรย” เป็นที่รู้จักกันดีในแถบอยุธยาในเรื่องของความโหดเหี้ยมในการออกปล้นในแต่ละครั้ง โดยเมื่อเขาทำการปล้นทรัพย์เสร็จสิ้นก็จะฆ่าเจ้าทรัพย์ทิ้งไปซะทุกครั้ง แต่ถ้าเกิดว่าบ้านไหนมีลูกสาวก็จะถูกจับกลับมาทำเมีย

ซึ่งพฤติกรรมเหี้ยมโหดนี้ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขากระจายไปไกลจนชาวบ้านหวาดผวาและมีข่าวลือไปทั่วว่าที่มันย่ามใจได้ขนาดนี้เป็นเพราะมี “แบ็คดี” จึงทำให้มีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่จนทำให้การปราบปรามไม่ค่อยจะจริงจังนัก อีกทั้งเมื่อพอจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้องเพราะกลัวว่าตัวเองจะซวยไปด้วย

เพราะในสมัยนั้นระบบราชการมีการเลี้ยงเหล่า “นักเลงโต” ไว้เพื่อเป็นหูเป็นตาและคอยดูแลชาวบ้านอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเข้าตำราว่า “ใช้โจรจับโจร” แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับนิสัยของนักเลงโตด้วยว่าจะเป็นคนมีคุณธรรมสมกับเป็น “นักเลง” จริงๆ หรือไม่

เรื่องราวนี้ดังไปถึงในพระนครจน “สมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)” (ยศในขณะนั้น) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องคิดหาทางที่จะกำราบโจรพวกนี้ไม่ให้กำแหงจึงได้ทำการจัดตั้ง “หน่วยเฉพาะกิจ” ขึ้นมาโดยขึ้นต่อสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์แต่เพียงผู้เดียว ให้ไปสืบหาข่าวเพื่อเตรียมทำการกวาดล้างให้หมดทั้งขบวนการและออกทำการจับกุมกลุ่มโจรได้เป็นจำนวนมาก
เช้ามืดวันหนึ่งขณะที่เรือของข้าหลวงได้ทำการล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตหัวเมืองอยุธยา ข้าหลวงคนหนึ่งก็ได้เห็นเรือลำหนึ่งกำลังแล่นมาจึงคิดว่าน่าจะเป็นเรือพวกเดียวกัน จึงแล่นเข้าไปประกบเพื่อทักทาย แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงเดินออกมาจากเก๋งเรือและส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือบอกว่าบนเรือนั้นมี “อ้ายอ่วม” ขุนโจรชื่อดังกำลังนอนหลับอยู่ ข้าหลวงทั้งหมดจึงกรูกันเข้าไปรวบได้พร้อมกับลูกน้อง

อ้ายอ่วมเจอโทษหนักที่สุดนั่นก็คือการประหารชีวิต โดยสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ตัดสินด้วยตนเองให้นำตัวไปประหารด้วยการใช้ “ขวานแบะอก” ซึ่งนอกจากจะเป็นการกวาดล้างแล้วก็ยังเป็นการทำให้ผู้ที่คิดจะทำผิดกฎหมายหลาบจำไปด้วย

โทษที่อ้ายอ่วมได้รับนั้นไม่ใช่โทษประหารด้วยการบั่นหัวธรรมดา แต่เป็นการประหารด้วยการ “ฟันตัวให้ขาดและแบะอกด้วยขวาน” อ้ายอ่วมถูกนำตัวขึ้นไปบนแท่นประหารโดยถูกจับมัดขึงพืดที่บนแท่น เมื่อทำการมัดเรียบร้อยแล้วเพชฌฆาตได้นำขวานที่ถูกลับจนคมกริบจามลงไปที่กลางท้องของอ้ายอ่วม แต่ทว่าขวานนั้นกลับเฉาะลงไปได้ไม่ลึกนัก

มีผู้เล่าว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตามเนื้อตัวของอ้ายอ่วมนั้นมีการสักยันต์ที่มีสรรพคุณทำให้หนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า แต่ทว่าก็ช่วยไม่ได้มากเพราะเมื่อจามลงไปอีกสองสามทีอ้ายอ่วมก็ขาดใจตายและเพชฌฆาตก็จัดการจามขวานไปที่หน้าอกเพื่อแบะออก ซึ่งสภาพศพของอ้ายอ่วมนั้นตรงบริเวณหน้าอกถูกขวานจามซะจนเละ ซึ่งเมื่อชาวบ้านเห็นก็ต่างพากันเรียกอ้ายอ่วมใหม่ว่า “อ้ายอ่วม อกโรย”
(บางตำรากล่าวว่าสาเหตุที่ชื่อ “อ่วม อกโรย” นั้นเป็นเพราะว่าอ้ายอ่วมมาจากตำบลที่มีชื่อว่าอกโรย ซึ่งอยู่ในจังหวัดอ่างทอง)
หลังจากการประหารครั้งนี้ทำให้เหล่าโจรเกิดความกลัวอาญาแผ่นดินจึงพากันสลายตัวไม่กล้าที่จะออกปล้นทำให้อาชญากรรมในยุคนั้นลดลง เนื่องจากโจรส่วนใหญ่กลัวว่าตัวเองจะถูกขวานจามที่หน้าอกเหมือนอ้ายอ่วม อกโรยนั่นเอง
เรียบเรียง : Sp

รายการบล็อกของฉัน