วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ไพร่ และ ทาส ในสังคมไทยสมัยอยุธยา

😃ไพร่ และ ทาส ในสังคมไทยสมัยอยุธยา
ในสังคมไทยสมัยโบราณ ไพร่ หมายถึง สามัญชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในฐานะทาส หรือเจ้าขุนมูลนาย มีอิสระในการประกอบอาชีพ การตั้งบ้านเรือน มีครอบครัว มีศักดินา 10-25 ไร่ และต้องสังกัดมูลนาย จะโยกย้ายสังกัดไม่ได้ ไพร่ที่ขึ้นสังกัดหรือสักเลกแล้ว จะปรากฏเครื่องหมายสังกัดที่ข้อมือ หากสามัญชนผู้ใดไม่ได้สังกัดมูลนายจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย พลเมืองทั้งหมดต้องขึ้นทะเบียนเป็นหลักฐานไว้โดยแบ่งออกเป็นฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย  เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่า ตนเองนั้นต้องขึ้นสังกัดหน้าที่อยู่กับฝ่ายใด นอกจากนั้น ยังแบ่งส่วนราชการออกเป็นกรมอีก  แต่ละกรมมีหัวหน้าคนหนึ่งเรียกว่า “นาย”

👉ไพร่มีหน้าที่ในการถูกเกณฑ์แรงงาน หรือเสีย “ส่วย” และถูกเกณฑ์ทหารในยามที่มีศึกสงคราม  ตามจดหมายเหตุของลาลูแบร์ได้กล่าวไว้ว่า “ประชาชนชาวสยามรวมกันเป็นกองทหารรักษาดินแดน”  ซึ่งทุกคนต้องขึ้นทะเบียนหางว่าวกรมพระสุรัสวดี

*** ทั้งหมด แม้ว่าระเบียบการปกครองในสมัยอยุธยา  จะแบ่งหน้าที่ของพลเมืองเป็นฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอย่างชัดเจน แต่จะใช้ในยามปกติเท่านั้น  เมื่อเกิดศึกสงคราม เจ้านายทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนก็จะต้องเข้าประจำกองตามทำเนียบตน  เนื่องจากกำลังพลมีน้อย ไม่สามารถแบ่งแยกหน้าที่ป้องกันประเทศไว้ที่ทหารฝ่ายเดียวได้  จำเป็นต้องใช้หลักการรวม จึงทำให้ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร  ซึ่งในสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็เรียกทหารเกณฑ์นี้ว่า “ไพร่” เช่นกัน
(***กรมพระสุรัสวดี หรือเรียกอีกอย่างว่า กรมสัสดี ซึ่งเป็นกรมที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่ทำทะเบียนหรือบัญชีคนในพระราชอาณาจักร และรักษาบัญชีเพื่อกำกับการเบิกจ่ายเกณฑ์กำลังคนทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน เร่งรัดการเก็บส่วยและเงินแทนการเกณฑ์ คัดสำเนากฎหมายและประกาศทางราชการแจกจ่ายให้ทุกกรมทราบ รวมทั้งพิจารณาคดีความที่เกี่ยวกับการแบ่งสังกัดหมวดหมู่ไพร่พล  กรม

พระสุรัสวดีมีตำแหน่งพระสุรัสวดีกลาง เป็นเจ้ากรม และมีกรมซ้ายและขวาขึ้นอีก 2 กรม คือ กรมพระสุรัสวดีซ้าย และ กรมพระสุรัสวดีขวา  พระสุรัสวดีกลางปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหลวงและเขตหัวเมืองชั้นใน พระสุรัสวดีซ้ายปฏิบัติหน้าที่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือ 24 หัวเมือง และกรมพระสุรัสวดีขวาปฏิบัติหน้าที่ในหัวเมืองปักษ์ใต้ 14 หัวเมือง ส่วนข้าราชการในกรมเรียกว่า สัสดี  – ที่มา: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา)
ไพร่ฝ่ายพลเรือน สามารถแบ่งได้ ดังนี้

👉ไพร่หลวง คือ ไพร่ที่สังกัดวังหลวงหรือพระเจ้าแผ่นดิน โดยจะถูกเกณฑ์เข้ารับราชการปีละ 6 เดือน คือเข้าเดือนหนึ่งออกเดือนหนึ่งสลับกันไป โดยไพร่หลวงนี้จะต้องสังกัดอยู่ในกรมพระสัสดีซ้าย -ขวา ,นอก -ใน ไพร่หลวงที่เป็นผู้ชายเมื่อเกิดศึกสงครามขึ้นมาก็จะต้องออกไปรบได้ทันทีโดยไม่มีข้อแม้
👉ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้มูลนายและขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน มูลนายจะมีไพร่มากน้อยขึ้นอยู่กับ ยศ ตำแหน่ง ศักดินา ไพร่สมต้องทำงานให้ราชสำนักปีละ 1 เดือน ส่วนเวลาที่เหลือรับใช้มูลนายหรือส่งเงินแทน เมื่อถึงยามสงครามทุกคนต้องเป็นทหารป้องกันอาณาจักร เมื่อมูลนายถึงแก่กรรมไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตรจะขอควบคุม
👉ไพร่สมต่อจากบิดา มีบางครั้งพวกไพร่หลวงหนีไปสมัครเป็นไพร่สมอยู่กับเจ้านาย กฎหมายอยุธยามีบทลงโทษถึงจำคุกและถูกเฆี่ยนถ้าหากจับได้ นอกจากนั้น กฎหมายอยุธยายังได้กำหนดอีกว่า ถ้าพ่อกับแม่สังกัดแตกต่างกันเช่นคนหนึ่งเป็นไพร่หลวง อีกคนหนึ่งเป็นไพร่สม ลูกที่เกิดออกาจะต้องแยกสังกัดตามที่กฎหมายกำหนด
👉ไพร่ราบ หมายถึง ไพร่ที่สังกัดมูลนาย มีอายุระหว่าง 13-17 ปี มีศักดินาระหว่าง 15
ไพร่ส่วย คือ ไพร่หลวงที่ไม่อยากถูกเกณฑ์เข้ารับราชการ ก็จะต้องเสียเงินทดแทน หรือส่งสิ่งของมาให้หลวงแทน เช่น ดีบุก ฝาง หญ้าช้าง เพื่อให้ไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้ามารับราชการ ถ้าไม่นำสิ่งของเหล่านี้มาจะต้องจ่ายเงิน โดยเงินที่ส่งมาจะถูกเรียกว่า “เงินค่าราชการ” ซึ่งอาจจะเป็นเดือนละ 4-6 บาทแล้วแต่จะกำหนด
👉เลก เป็นคำรวมที่ใช้เรียกไพร่หัวเมืองทั้งหลายตลอดจนข้าทาส พวกเลกหัวเมือง ยังขึ้นกับกระทรวงใหญ่ ๒ กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย และกลาโหม ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ระบบไพร่ดำรงอยู่จนกระทั่งถึงกลางสมัยรัตนโกสินทร์ และค่อย ๆ จางหายไปเอง เมื่อมีการนำระบบภาษีอากร และระบบเกณฑ์ทหารแบบสมัยใหม่มาใช้
“ทาส” ในสมัยอยุธยา

😠ในประเทศไทย ทาสได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด (ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา โดยในสมัยก่อนหน้านั้นยังเป็นข้อถกเถียงของนักวิชาการ) ได้แก่
🔼ทาสสินไถ่ เป็นทาสที่มีมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด โดยเงื่อนไขของการเป็นทาสชนิดนี้ คือ การขายตัวเป็นทาส เช่น พ่อแม่ขายบุตร สามีขายภรรยา หรือขายตัวเอง ดังนั้น ทาสชนิดนี้จึงเป็นคนยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเองได้ จึงได้เกิดการขายทาสขึ้น 
โดยสามารถเปลี่ยนสถานะกลับไปเมื่อมีผู้มาไถ่ถอน และทาสชนิดนี้ที่ปรากฏในวรรณคดีไทยคือนางสายทองซึ่งขายตัวให้กับนางศรีประจันนั่นเอง
🔼ทาสในเรือนเบี้ย เด็กที่เกิดขึ้นระหว่างที่แม่เป็นทาสของนายทาส ทาสชนิดนี้ไม่สามารถไถ่ถอนตนเองได้
🔼ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดกทาสที่ตกเป็นมรดกของนายทาส เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนายทาสคนเดิมเสียชีวิตลง และได้มอบมรดกให้แก่นายทาสคนต่อไป
🔼ทาสท่านให้ ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่นอีกทีหนึ่ง
🔼ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ ในกรณีที่บุคคลนั้น เกิดกระทำความผิดและถูกลงโทษเป็นเงินค่าปรับ แต่บุคคลนั้น ไม่มีความสามารถในการชำระค่าปรับ หากว่ามีผู้ช่วยเหลือให้สามารถชำระค่าปรับได้แล้ว ถือว่าบุคคลนั้น เป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ
🔼ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก ในภาวะที่ไพร่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ประกอบอาชีพได้แล้ว ไพร่อาจขายตนเองเป็นทาสเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากนายทาส
🔼ทาสเชลย ภายหลังจากได้รับการชนะสงคราม ผู้ชนะสงครามจะกวาดต้อนผู้คนของผู้แพ้สงครามไปยังเมืองของตน เพื่อนำผู้คนเหล่านั้นไปเป็นทาสรับใช้
การพ้นจากความเป็นทาส
การพ้นจากความเป็นทาสสามารถเกิดขึ้นได้ จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
โดยการหาเงินมาไถ่ถอน
การบวชเป็นสงฆ์โดยได้รับความยินยอมจากนายทาส
ไปการสงครามและถูกจับเป็นเชลย หลังจากนั้น สามารถหลบหนีออกมาได้
แต่งงานกับนายทาสหรือลูกหลานของนายทาส

ไปแจ้งทางการว่านายทาสเป็นกบฏ และผลสืบสวนออกมาว่าเป็นจริง
การประกาศไถ่ถอนจากพระมหากษัตริย์ ในช่วงของการเลิกทาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 
ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี 

โดยกำหนดว่าเมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปี ก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง
ข้าทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม กลายเป็นราษฎรสยามและสามารถประกอบอาชีพที่หลากหลายได้ จนกระทั่งปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสฉบับจริงขึ้น เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448)
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย