7การทดลองสุดโหดที่ทำกับมนุษย์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
การทดลองทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เราคงพอจะทราบกันว่ามันโหดร้ายแค่ไหน พรรคนาซีแห่งชาติเยอรมัน ทำการทดลองโดยใช้นักโทษที่อยู่ในค่ายกักกันเป็นตัวทดลอง โดยแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ทิ้งละทิ้งจรรยาบรรณ และนี่คือเรื่องราวการทดลองส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงรูปนักโทษ
![]() |
1. แพร่เชื้อมาลาเรียให้นักโทษ
การทดลองมาลาเรีย (Malaria Experiments) ในปี 1945 นักโทษ 1,084 คนหลายเชื้อชาติ ถูกนำมาทดลองมาลาเรีย คนที่มีความแข็งแรงจะถูกจงใจให้ถือกล่องยุงที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่เพื่อให้ยุงกัด โดยถือไว้ที่หว่างขาครึ่งชั่วโมงต่อวัน และมีบางคนก็ให้เป็นพาหะเฉยๆ คือกลัวว่าเชื้อจะไม่มีใช้งาน เลยเอามาให้ติดในคน สามถึงห้าคนต่อเดือน บางคนโดนฉีดต่อมมูกของยุงเข้าโดยตรง
การทดลองมาลาเรีย (Malaria Experiments) ในปี 1945 นักโทษ 1,084 คนหลายเชื้อชาติ ถูกนำมาทดลองมาลาเรีย คนที่มีความแข็งแรงจะถูกจงใจให้ถือกล่องยุงที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่เพื่อให้ยุงกัด โดยถือไว้ที่หว่างขาครึ่งชั่วโมงต่อวัน และมีบางคนก็ให้เป็นพาหะเฉยๆ คือกลัวว่าเชื้อจะไม่มีใช้งาน เลยเอามาให้ติดในคน สามถึงห้าคนต่อเดือน บางคนโดนฉีดต่อมมูกของยุงเข้าโดยตรง
อาวุธชีวะภาพ ใช้ยุงในการโจมตี
![]() |
นักโทษที่เคยโดนทดลองมาลาเรีย เล่าว่าทุกสามสัปดาห์เขาจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดตามข้อ มีการทดลองให้ยาหลายชนิดเพื่อรักษา เช่นนีโอซาลวาซาน ควินินฉีด แอตทาบริน คนที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลหลังจากถูกบังคับให้ยุงกัดในขณะนั้นมี 50-60 คนที่มีอาการหนาวสั่น จากการทดลองนี้มีนักโทษตายไปประมาณ 60 คน แน่นอนว่าพวกเขาถูกบังคับและไม่สนว่านักโทษจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ตัวอย่างการทดลอง
![]() |
2. การทดลองแก๊สมัสตาร์ด
การทดลองแก๊สมัสตาร์ด LOST (Mustard) Gas Experiments หรือที่เรียกอีกอย่างว่าแก๊สมัสตาร์ดนั้นเป็นอาวุธเคมี ปกติแล้วถ้าบริสุทธิ์จะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง ไม่มีสี แต่ถ้าใช้ในการสงครามจะใช้แบบไม่บริสุทธิ์ทำเป็นละอองฝอยมีสีเหลือง มีกลิ่นเหมือนมัสตาร์ด หรือกระเทียม จึงได้ชื่อเรียกว่าแก๊สมัสตาร์ด อาการ เมื่อสัมผัส ภายใน 24 ชั่วโมง จะมีผลให้ผู้ที่โดนนั้นเกิดการคัน ต่อมากลายเป็นแผลพุพองบริเวณที่โดน จากการไหม้ของสารเคมี ถ้าโดนที่ตาจะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ เปลือกตาบวม ตาบอดชั่วคราว ถ้าสูดดมเข้าไป จะไประคายเคืองระบบทางเดินหายใจและกลายเป็นแผลพุพองตุ่มน้ำใสตามเยื่อบุของทางเดินหายใจ และทำให้เป็นน้ำท่วมปอดได้ แก๊สมัสตาร์ดยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วยแก๊สมัสตาร์ด
การทดลองแก๊สมัสตาร์ด LOST (Mustard) Gas Experiments หรือที่เรียกอีกอย่างว่าแก๊สมัสตาร์ดนั้นเป็นอาวุธเคมี ปกติแล้วถ้าบริสุทธิ์จะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง ไม่มีสี แต่ถ้าใช้ในการสงครามจะใช้แบบไม่บริสุทธิ์ทำเป็นละอองฝอยมีสีเหลือง มีกลิ่นเหมือนมัสตาร์ด หรือกระเทียม จึงได้ชื่อเรียกว่าแก๊สมัสตาร์ด อาการ เมื่อสัมผัส ภายใน 24 ชั่วโมง จะมีผลให้ผู้ที่โดนนั้นเกิดการคัน ต่อมากลายเป็นแผลพุพองบริเวณที่โดน จากการไหม้ของสารเคมี ถ้าโดนที่ตาจะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ เปลือกตาบวม ตาบอดชั่วคราว ถ้าสูดดมเข้าไป จะไประคายเคืองระบบทางเดินหายใจและกลายเป็นแผลพุพองตุ่มน้ำใสตามเยื่อบุของทางเดินหายใจ และทำให้เป็นน้ำท่วมปอดได้ แก๊สมัสตาร์ดยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วยแก๊สมัสตาร์ด
![]() |
ในการทดลองปกติเวลาโดนแก๊สนี้แล้วจะเกิดแผลพุพอง มีการให้กรีดเนื้อนักโทษแล้วเอาไปป้ายที่แผล หรือให้ดมในภาวะของเหลว หรือฉีดเข้าไปในร่างกาย เมื่อโดนแล้วจะทำให้บวมเป่งและเจ็บปวดมาก บางคนให้ทดลองโดยการกระทืบหลอดแก๊สให้แตกในห้องอบแก๊ส แล้วให้ยืนดม ของเหลวจะระเหยกลายเป็นไอ โดยปกติแล้วเหยื่อจะหมดสติ ทำแบบนี้ 150 คน ระบบหายใจจะถูกทำลาย การทดลองนี้ใช้เหยื่อ 220 คน ในจำนวนนี้ตาย 50 คน
![]() |
3. การทดลองปลูกกระดูก เส้นประสาท กล้ามเนื้อ
การทดลองนี้โหดร้ายมาก นำโดยแพทย์หญิงแฮร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ (Herta Oberheuser) การทดลองทำโดยตัดขาคนให้ขาดระดับเอว หรือตัดแขนรวมถึงหัวไหล่ของนักโทษที่มีสุขภาพแข็งแรง ไปเย็บติดกับร่างอีกคนหนึ่งเพื่อปลูกถ่าย คนที่ถูกนำแขนขาออกจะถูกฆ่าทิ้งหลังผ่าตัด ทำแบบนี้ราวสิบคน
การทดลองนี้โหดร้ายมาก นำโดยแพทย์หญิงแฮร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ (Herta Oberheuser) การทดลองทำโดยตัดขาคนให้ขาดระดับเอว หรือตัดแขนรวมถึงหัวไหล่ของนักโทษที่มีสุขภาพแข็งแรง ไปเย็บติดกับร่างอีกคนหนึ่งเพื่อปลูกถ่าย คนที่ถูกนำแขนขาออกจะถูกฆ่าทิ้งหลังผ่าตัด ทำแบบนี้ราวสิบคน
![]() |
แพทย์หญิงแฮร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์
นักโทษหญิงที่เคยโดนทดลองคนหนึ่งเล่าว่าเธอถูกผ่าที่ขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสร็จแล้วเข้าเฝือกไว้ ต่อมามีน้ำหนองไหลจากเฝือก ไข้ขึ้น จากการติดเชื้อที่กระดูก มีครั้งนึงเธอเห็นว่ารอยกรีดนั้นลึกถึงกระดูกเลย บางรายถูกฉีดเชื้อโรค บาดทะยัก เขาไปในแผล เพื่อให้เกิดกระดูกอักเสบ เหยื่อที่ถูกตัดอวัยวะจะถูกฆ่าทิ้ง เหยื่อที่เหลือพิการตลอดชีวิตอีก 71 คน
![]() |
ภาพเหยื่อที่เคยถูกทดลอง
ชิ้นส่วนที่ถูกตัดมาเพื่อการทดลอง
4. การทดลองน้ำเค็ม
การทดลองน้ำเค็ม (Sea-water Experiments) ในปี 1944 การทดลองนี้เพื่อประโยชน์กองทัพอากาศและกองทัพเรือ ตามสมมุติฐานว่าถ้าทหารเหล่านี้ต้องไปลอยอยู่ในทะเล จะทำอย่างไรให้น้ำทะเลดื่มได้ เหยื่อการทดลอง 44 คน ถูกให้งดอาหารนาน 5-9 วัน
โดยนักโทษถูกหลอกมาว่าจะให้มาทำความสะอาด เนื่องจากต้องหลอกว่าไม่ใช่น้ำทะเล จึงต้องปรุงรสไม่ให้เค็ม เรียกว่าน้ำเบอร์กาทิต (berkatit) แต่น้ำนี้ยังมีเกลือแร่ทุกอย่างเหมือนน้ำทะเลครบ สมมติฐานคือ คาดว่าต้องดื่มเกิน 6 วันจึงจะเป็นอันตราย และเสียชีวิตเมื่อดื่มเกิน 12 วัน
การทดลองน้ำเค็ม (Sea-water Experiments) ในปี 1944 การทดลองนี้เพื่อประโยชน์กองทัพอากาศและกองทัพเรือ ตามสมมุติฐานว่าถ้าทหารเหล่านี้ต้องไปลอยอยู่ในทะเล จะทำอย่างไรให้น้ำทะเลดื่มได้ เหยื่อการทดลอง 44 คน ถูกให้งดอาหารนาน 5-9 วัน
โดยนักโทษถูกหลอกมาว่าจะให้มาทำความสะอาด เนื่องจากต้องหลอกว่าไม่ใช่น้ำทะเล จึงต้องปรุงรสไม่ให้เค็ม เรียกว่าน้ำเบอร์กาทิต (berkatit) แต่น้ำนี้ยังมีเกลือแร่ทุกอย่างเหมือนน้ำทะเลครบ สมมติฐานคือ คาดว่าต้องดื่มเกิน 6 วันจึงจะเป็นอันตราย และเสียชีวิตเมื่อดื่มเกิน 12 วัน
![]() |
การทดลองแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไม่ได้รับอาหารใดๆ เลย อีกกลุ่มได้รับอาหารเช่น ขนมปังกรอบ นมผง เนย ไขมัน นักโทษคนหนึ่งที่เคยโดนทดลองแล้วรอดมาได้เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการทดลองจะได้รับอาหารก่อนหนึ่งสัปดาห์เต็ม (ถ้าสภาพร่างกายนักโทษผอมแห้ง มันจะไม่เหมือนสภาพทหารที่ลอยคอกลางทะเล) มีนักโทษประมาณ 40 คน ที่โดนทดลอง หลังจากนั้นโดนกรอกน้ำเค็มให้ดื่มโดยไม่ได้รับอาหาร สามครั้งต่อวัน ตอนเย็นเป็นน้ำสีเหลือง และเจาะตับไปตรวจ บางคนถูกเจาะน้ำไขสันหลัง มีการชั่งน้ำหนักด้วย ผ่านไปไม่กี่วันจะคลุ้มคลั่งเป็นบ้า เห็นภาพหลอน น้ำลาย ฟูมปาก เห่า ท้องร่วง ชักกระตุก ส่วนใหญ่จะเสียสติไปเลยหรือไม่ก็ตาย
![]() |
5. การทดลองซัลฟานิลาไมด์
การทดลองซัลฟานิลาไมด์ (Sulfanilamide Experiments) ในปี 1943 การทดลองทำโดยนำนักโทษชาย 15 คน นักโทษหญิง 60 คน มีการจำลองภาวะ ภาวะเนื้อตาย (Gangrene) โดยบางกลุ่มจะโดนกรีดกล้ามเนื้อยาว 10 เซนติเมตร แล้วเติมขี้เลื่อยผสมแบคทีเรียจากจานเพาะเชื้อ ขี้เลื่อยจะทำหน้าที่เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้การหายของแผลยากขึ้น ติดเชื้อง่ายขึ้น และจำลองสภาพสกปรกที่ทหารเยอรมันจะต้องโดน
การทดลองซัลฟานิลาไมด์ (Sulfanilamide Experiments) ในปี 1943 การทดลองทำโดยนำนักโทษชาย 15 คน นักโทษหญิง 60 คน มีการจำลองภาวะ ภาวะเนื้อตาย (Gangrene) โดยบางกลุ่มจะโดนกรีดกล้ามเนื้อยาว 10 เซนติเมตร แล้วเติมขี้เลื่อยผสมแบคทีเรียจากจานเพาะเชื้อ ขี้เลื่อยจะทำหน้าที่เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้การหายของแผลยากขึ้น ติดเชื้อง่ายขึ้น และจำลองสภาพสกปรกที่ทหารเยอรมันจะต้องโดน
![]() |
บางกลุ่มใช้แบคทีเรียจากจานเพาะเชื้อผสมเศษแก้ว บางกลุ่มใช้แบคทีเรียผสมทั้งขี้เลื่อยและเศษแก้ว
พบว่าหลังจากทำแบบนี้แล้วได้ภาวะเนื้อตายที่ไม่ร้ายแรง ไม่มีใครตาย จึงเปลี่ยนเป็นรัดกล้ามเนื้อทั้งสองปลายแผลด้วย เพื่อสกัดไม่ให้เลือดไปเลี้ยง วิธีนี้จะทำให้แผลติดเชื้อรุนแรงมากและตาย ในห้องที่รักษาพยาบาลนั้นกลิ่นจะเหม็นคละคลุ้งมาก เหยื่อการทดลองจะเจ็บปวดทรมานมาก นักโทษชาวโปแลนด์ที่รอดจากการทดลองเล่าว่ามีนักโทษ 74 คนถูกผ่าตัด หลายคนถูกผ่ามากกว่าหนึ่งครั้ง ตาย 5 คน ถูกยิงทิ้ง 6 คนหลังผ่าตัด เธอโดนผ่าตัดที่น่องขวาจากการทดลองซัลฟา และการปลุกถ่ายกระดูก โดยไม่ได้สมัครใจและไม่ได้รับยารักษา แม้ทุกวันนี้แผลก็ยังคงเจ็บอยู่และเธอต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต
![]() |
6. การทดลองบรรยากาศชั้นสูง
การทดลองบรรยากาศชั้นสูง (High-Altitude Experiments) ในปี 1942 การทดลองนี้คิดโดย นพ.ซิกมุนด์ ราเชอร์ การทดลองนี้ทำเพื่อดูว่า ถ้าสมมตินักบินของเยอรมันต้องตกดิ่งลงมาจากบรรยากาสสูงจะเป็นอย่างไร การทดลองทำโดยเอาห้องกระเปาะโลหะทรงกลมปรับลดความดัน จำลองสภาพความสูงที่ระดับ 68,000 ฟุต โดยสูบเอาอากาศออก เหยื่อจะได้รับหน้ากากออกซิเจน หรือไม่มีก็ได้ผลจากการทดลองนักโทษคนหนึ่งพบว่า การทดลองที่ความสูง 12 กิโลเมตร หลัง 4 นาทีเหยื่อจะเหงื่อท่วมตัว หัวส่ายไปมา หลัง 5 นาทีมีอาการตะคริว หลัง 6-10 นาทีการหายใจถี่ขึ้น หมดสติ หลังจาก 11-30 นาทีการหายใจจะช้าลงสามครั้งต่อนาที และหยุดลง อาการตัวจ้ำสีน้ำเงิน น้ำลายฟูมปาก หลังหัวใจหยุดเต้นหนึ่งชั่วโมง
การทดลองบรรยากาศชั้นสูง (High-Altitude Experiments) ในปี 1942 การทดลองนี้คิดโดย นพ.ซิกมุนด์ ราเชอร์ การทดลองนี้ทำเพื่อดูว่า ถ้าสมมตินักบินของเยอรมันต้องตกดิ่งลงมาจากบรรยากาสสูงจะเป็นอย่างไร การทดลองทำโดยเอาห้องกระเปาะโลหะทรงกลมปรับลดความดัน จำลองสภาพความสูงที่ระดับ 68,000 ฟุต โดยสูบเอาอากาศออก เหยื่อจะได้รับหน้ากากออกซิเจน หรือไม่มีก็ได้ผลจากการทดลองนักโทษคนหนึ่งพบว่า การทดลองที่ความสูง 12 กิโลเมตร หลัง 4 นาทีเหยื่อจะเหงื่อท่วมตัว หัวส่ายไปมา หลัง 5 นาทีมีอาการตะคริว หลัง 6-10 นาทีการหายใจถี่ขึ้น หมดสติ หลังจาก 11-30 นาทีการหายใจจะช้าลงสามครั้งต่อนาที และหยุดลง อาการตัวจ้ำสีน้ำเงิน น้ำลายฟูมปาก หลังหัวใจหยุดเต้นหนึ่งชั่วโมง
![]() |
ผลการชันสูตรพบช่องเยื่อหุ้มหัวใจมีของเหลวเต็ม ในหลอดเลือดสมองมีฟองอากาศมากชัดเจน เหยื่อที่ใช้ทดลองมีการสุ่มเลือกราวสองร้อยคน มีทั้งคนรัสเซีย เชลยรัสเซีย โปแลนด์ ยิว นักโทษการเมืองชาวเยอรมัน เหยื่อการทดลอง 78 คนเสียชีวิต เหยื่อโดนหลอกว่าถ้าเข้าร่วมการทดลองแล้วจะได้ปล่อยตัวเป็นอิสระ
ภาพเหยื่อที่ถูกทดลองด้วยวิธีการนี้
![]() |
7. การทดลองยาพิษ
การทดลองยาพิษ (Experiments with Poison) ในปี 1944 การทดลองนี้ไม่ได้ต้องการเรื่องการรักษา แค่อยากรู้ว่าถ้าโดนยาพิษจะเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร นานเท่าไรจึงตาย การทดลองช่วงแรกทดลองโดยให้นักโทษรัสเซียสี่คนได้กินสารพิษอัลคาลอยด์ที่เจือปนในอาหาร แล้วหมอแอบดูอยู่หลังม่านเพื่อดูปฏิกริยาร่างกาย คืออาเจียน หมดสติ คนหนึ่งไม่มีอาการ แต่ไม่ตายจึงโดนฆ่าด้วยการแขวนคอแล้วจะได้เอาไปชันสูตร
การทดลองยาพิษ (Experiments with Poison) ในปี 1944 การทดลองนี้ไม่ได้ต้องการเรื่องการรักษา แค่อยากรู้ว่าถ้าโดนยาพิษจะเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร นานเท่าไรจึงตาย การทดลองช่วงแรกทดลองโดยให้นักโทษรัสเซียสี่คนได้กินสารพิษอัลคาลอยด์ที่เจือปนในอาหาร แล้วหมอแอบดูอยู่หลังม่านเพื่อดูปฏิกริยาร่างกาย คืออาเจียน หมดสติ คนหนึ่งไม่มีอาการ แต่ไม่ตายจึงโดนฆ่าด้วยการแขวนคอแล้วจะได้เอาไปชันสูตร
ต่อมามีการทดลองกระสุนอาบยาพิษ ยิงเข้าที่ขา ระยะแรกไม่มีอาการ ระยะต่อมา 20-25 นาที ร่างกายกระตุก น้ำลายไหล พอ 40-45 นาที น้ำลายฟูมปาก 58 นาทีบางคนไม่มีชีพจร บางคนร่างกระตุก ยาพิษใช้เวลา 2 ชั่วโมง 9 นาทีก่อนตาย